TSMC บริษัทผลิตชิปเซ็ตจากประเทศไต้หวัน คาดการณ์ว่าโลกจะยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ชิปเซ็ตขาดแคลนไปจนถึงปี 2022
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลต่ออุตสาหกรรมทุกๆ ประเภท ไม่เว้นแม้แต่การผลิตชิปเซ็ต ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์หลากหลายชนิด ตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ ทีวี เครื่องเล่นเกมคอนโซล หรือแม้แต่รถยนต์ ซึ่งแม้โรงงานผลิตชิปจะทยอยเปิดโรงงานได้ตามปกติแล้ว แต่ชิปเซ็ตที่ผลิตได้ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการอยู่ดี
ตัวอย่างของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชิปเซ็ตขาดแคลนส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่ขาดแคลนชิปเซ็ตซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต
Ford จำเป็นต้องปิดโรงงาน 2 แห่ง เพราะขาดแคลนชิปที่ใช้ในการผลิต โดยคาดการณ์ว่าจะสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
ส่วน Nissan ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องปิดโรงงานในแม็กซิโก และสหรัฐอเมริกาชั่วคราวเช่นเดียวกัน
- ปัญหาวิกฤต “ชิป” หาย ไม่มีขายในตลาด กระทบอุตสาหกรรมรถยนต์-มือถือ-ทีวีอาจต้องขึ้นราคา
- แค่ COVID-19 และชิปขาดตลาดไม่พอ! โลหะ Rhodium-Palladium ราคาขึ้น ทำตลาดรถยนต์โตลำบาก
ชิปเซ็ตจะขาดแคลนไปจนถึงปี 2022
Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ของโลกจากประเทศไต้หวัน ผู้ที่รับหน้าที่ผลิตชิปเซ็ตให้กับบริษัทใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี ทั้ง Apple, Qualcomm, AMD รวมถึงบริษัทอื่นๆ ทั่วโลก ได้ออกมาคาดการณ์ว่าสถานการณ์ชิปเซ็ตขาดแคลนจะยังคงอยู่ไปจนถึงปี 2022 และจะค่อยๆ เห็นสถานการณ์ของ Supply Chain ที่ดีขึ้นในปี 2023
เช่นเดียวกันกับ Pat Gelsinger CEO ของ Intel ที่คาดการณ์ในแนวเดียวกับ TSMC ว่า จะต้องใช้เวลานานนับปีเพื่อแก้ปัญหาชิปเช็ตขาดแคลน และต้องใช้เวลาราว 2 ปี เพื่อเร่งกำลังการผลิตชิปเซ็ตขึ้น เช่นเดียวกับ Colette Kress CEO ของ Nvdia บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์กราฟฟิก ที่มองว่าปริมาณความต้องการชิปเซ็ตจะมากกว่ากำลังการผลิตเป็นเวลานานหลายปี
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาชิปเซ็ตขาดแคลนทั่วโลก TSMC ได้ “เพิ่มกำลังการผลิตจนเกิน 100% ไปเรียบร้อยแล้ว” แต่การแก้ไขปัญหาในระยะกลางได้ลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดย TSMC ได้ใช้เงินลงทุน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.38 แสนล้านบาท มากกว่าที่เคยคาดการณ์ว่าจะใช้เงินในการลงทุน 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ และจะใช้เงินลงทุนรวม 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.12 ล้านล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา