ท่าไม้ตายใหม่ของค้าปลีกหน้าเก่าอย่าง Walmart คือการใช้จุดแข็งของตนเอง เปิดหน้าร้านที่ให้ลูกค้ามารับของ (pick up) และจะไม่ขายสินค้าใดๆ ที่หน้าร้าน ส่วนถ้าลูกค้าต้องการซื้อสินค้า ให้ไปซื้อผ่านออนไลน์เท่านั้น
เปิดสาขาให้ลูกค้ารับของเท่านั้น ไม่ขายหน้าร้าน อยากได้ ไปซื้อผ่านออนไลน์
Walmart จับมือกับ Nordstrom ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา (ในรายละเอียดคือจับมือเฉพาะ Nordstrom Local เท่านั้น) โดยได้เปิดสาขาหน้าร้านที่ให้ลูกค้ามารับสินค้า (pick up) และจะไม่ขายสินค้าผ่านหน้าร้าน โดยหากลูกค้าต้องการสินค้าใดๆ ในร้าน จำเป็นต้องซื้อผ่านออนไลน์เท่านั้น
ความเคลื่อนไหวของวงการค้าปลีกลักษณะนี้ชัดเจนว่า Walmart และพรรคพวกมองเห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่การเดลิเวอรี่อาจไม่ได้ตอบโจทย์เสมอไป มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากเข้าไปรับสินค้าที่สาขาในเวลาที่กำหนดเองได้ ซึ่งในปัจจุบัน Walmart มีสาขา Pick Up ไม่ต่ำกว่า 3,000 แห่ง ส่วน Nordstrom ก็มีอยู่ประมาณ 100 แห่ง การจับมือกันครั้งนี้เป็นการยกระดับไปอีกขั้นเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ลูกค้า (Walmart เน้นขายสินค้าทั่วไปในชีวิตประจำวัน ส่วน Nordstrom เน้นขายสินค้าหรู)
นักวิเคราะห์มองว่า ปัจจุบันผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาใช้บริการรับสินค้าที่สาขาอยู่แล้ถึง 15% ซึ่งในปี 2020 ตลาดนี้จะพุ่งสูงขึ้นจนมีมูลค่าประมาณ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ลองดูหน้าตาของร้านที่ Walmart จับมือกับ Nordstrom ด้านล่างนี้
ค้าปลีกยุคใหม่ ต้องใช้จุดแข็งมาสู้กับคู่แข่ง
อันที่จริงแล้ว กลยุทธ์รับสินค้าที่สาขาหน้าร้านของ Wamart และ Nordstrom ถือเป็นการใช้ข้อได้เปรียบเชิงพื้นที่ที่มีอยู่ และที่มากกว่านั้น กลยุทธ์แบบนี้ถือว่าลดต้นทุนให้กับทางแบรนด์ไปได้มากเมื่อเทียบกับการส่งของแบบเดลิเวอรี่ถึงหน้าบ้านของลูกค้า
Walmart เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่ถูก disrupt โดย Amazon มาหลายระลอก แต่ในสภาวะที่ฝุ่นยังตลบ Amazon ก็ปรับตัวหลายอย่าง ทั้งการประกาศรับคนไอทีอีก 2,000 คนเพื่อเอามาสู้ในศึกด้านเทคโนโลยี หรือสั่งยุบแผนกผู้จัดการแล้วให้ไปทำงานตำแหน่งอื่นแทนเพื่อลดต้นทุน รวมถึงการขยายตู้รับสินค้าอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้แรงงานคนแต่อย่างใด
ค้าปลีกยุคนี้ไม่ง่ายจริงๆ
ข้อมูล – CNN
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา