ถ้าพูดถึงแหล่งสตาร์ทอัพหรือวงการเทคโนโลยี ทุกคนคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคือ “Silicon Valley” ในซานฟรานซิสโก แต่ถ้าติดตามวงการนี้ดีๆ จะเห็นว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย แนวโน้มถ่ายเทไปทางจีน ดูแล้วมีโอกาสสูงมากที่จะขึ้นมาแทนที่
ช่องว่างยูนิคอร์น “จีน” ขยับใกล้อเมริกา แซงยุโรปมา 2 ปีแล้ว
นับตั้งแต่ปี 2010 มีสตาร์ทอัพยูนิคอร์น (สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 1 พันล้านเหรียญ) เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 2015 บริษัทด้านการลงทุน CB Insights รายงานว่า ยูนิคอร์นที่เกิดขึ้นในจีนมีจำนวนมากกว่ายุโรปไปเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนในสหรัฐอเมริกา สตาร์ทอัพยูนิคอร์นของจีนกำลังขยับเข้าใกล้ไปทุกที เปิดตัวเลขชัดๆ ก็คือ ในจีนตอนนี้มีสตาร์ทอัพยูนิคอร์นทั้งหมด 34 ราย ส่วนในสหรัฐอเมริกามีทั้งหมด 39 ราย
ถ้านับเฉพาะปี 2017 นี้ มีสตาร์ทอัพยูนิคอร์นเกิดขึ้นทั่วโลก 33 บริษัท ตัวเลขที่น่าสนใจคือ เป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นจีนกว่า 12 บริษัท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของทั้งหมดนั่นเอง
อีกอย่างที่น่าทึ่งก็คือ ตัวเลขของจีนเริ่มนับตั้งแต่ปี 2015 ส่วนในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 2010 จะเห็นได้ว่าเทรนด์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก ส่วนปัจจัยส่วนหนึ่งก็เพราะถ้าต้องไปเป็นสตาร์ทอัพในอเมริกา และอยากเติบโตไวก็ต้องไปที่ Silicon Valley ในซานฟรานซิสโก แต่ด้วยการเติบโตทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ทำให้ที่ดิน ค่าครองชีพ การใช้ชีวิตทุกอย่างมีราคาสูง เทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนก็คือ คนจีนรุ่นใหม่ที่ไปจบในอเมริกาเดินทางกลับบ้านไปทำสตาร์ทอัพของตัวเอง และที่สำคัญรัฐบาลจีนก็สนับสนุนอีกด้วย
คนจีนทยอยกลับบ้าน ออกจากซานฟรานฯ ไปสร้างสตาร์ทอัพในบ้านเกิด
The San Francisco Chronicle สำนักข่าวในซานฟรานซิสโก รายงานว่า ชาวจีนที่ไปศึกษาเล่าเรียนในพื้นที่มีอัตราการกลับบ้านเกิดสูงขึ้น ปีที่ผ่านมามีสูงถึง 432,500 คน นับเป็นจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 58% นับตั้งแต่ปี 2012
จุดประสงค์ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นักศึกษาชาวจีนเหล่านี้กลับไปประเทศบ้านเกิดเพื่อดำเนินการสตาร์ทอัพของพวกเขาเอง ภายใต้ “กลยุทธ์ปิดบ้านทำธุรกิจ” ของรัฐบาลจีน เพราะจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคฯ รายใหญ่ของโลกขนาดไหนก็เจาะจีนไม่เข้า ตัวอย่างเช่น Amazon หรือ Uber
Duncan Logan ซีอีโอบริษัทด้านเทคโนโลยี RocketSpace ถึงกับบอกว่าการทำธุรกิจสตาร์ทอัพของจีนถือเป็นโลกขั้วตรงข้าม (bi-polar world) กับฝั่งตะวันตก เช่น ในตะวันตกมี Google จีนก็มี Tencent, โลกตะวันตกมี Facebook จีนมี WeChat หรือฝั่งตะวันตกมี Uber จีนก็มี Didi
อันที่จริง การที่ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคฯ เจาะเข้าตลาดจีนไม่ได้ ก็มีปัจจัยอีกหลายประการ แต่สิ่งที่จีนได้รับเต็มๆ ก็คือการบริโภคในประเทศ เงินไม่ไหลออกไปนอกประเทศในกรณีนี้มากนัก ดูได้จาก GDP ที่มีการขยายตัวถึง 7% ในขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่แถวๆ 1 – 2.5% เท่านั้น และอีกไม่นานในปี 2030 เศรษฐกิจจีนจะปีนขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของโลกอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดเจนว่า “จีน” จะเป็นภัยคุกคามต่อ Silicon Valley ในอนาคตอันใกล้ และถ้าเทรนด์ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ศูนย์กลางของแหล่งเทคโนโลยีอาจเป็นจีนที่ขึ้นมาแทนที่ Silicon Valley ก็ได้
แต่ความจริงก็คือ Veronica Wu กรรมการผู้จัดการของ Hone Ventures บอกว่า ” ฉันคิดว่า [จีน] เป็นภัยคุกคามอย่างแน่นอน เพราะคุณจะเห็นได้ว่าหลายคนย้ายออกไปจาก Silicon Valley ไปทำธุรกิจในที่อื่นๆ มากขึ้น แต่เพียงว่าตอนนี้ยังไม่มีใครแทนที่ Silicon Valley ได้ “
ที่มา – QUARTZ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา