อุตสาหกรรมขนส่งทั่วโลกชะงักอีกครั้ง หลังน้ำท่วมหนักในยุโรปและจีน ทำค่าส่งแพงขึ้นอีก

สถานการณ์น้ำท่วมในจีนและยุโรปถือเป็นอีกหนึ่งผลกระทบที่เป็นอุปสรรคต่อห่วงโซ่อุปทาน CEO ของบริษัทขนส่งบอกกับ CNBC

โควิดกระทบขนส่งทางเรือมาก่อนแล้ว

ภาคการขนส่งได้รับผลกระทบครั้งใหญ่ในปีนี้ทั้งจากสถาการณ์โควิดที่ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนจนเกิดความล่าช้าในการขนส่งและส่งผลให้ค่าใช้จ่ายจากการขนส่งแพงขึ้น 

นอกจากนี้ขนส่งยังหยุดชะงักจากกรณีเรือขวางคลองสุเอซซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุด อีกทั้งโควิดระลอกสองระบาดรุนแรงทางตอนใต้ของจีนซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางขนส่งสำคัญยิ่งทำให้กระบวนการขนส่งล่าช้าลงขณะเดียวกันค่าส่งก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม

สถานการณ์น้ำท่วมทำระบบรางเสียหาย

ฝนตกหนักและน้ำท่วมได้สร้างความเสียหายให้กับหลายพื้นที่ในยุโรปตะวันตก บริเวณที่สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงมากที่สุดคือเยอรมนีและเบลเยี่ยม ไม่เพียงเท่านี้แต่ในพื้นที่อื่นอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน

สถานการณ์น้ำท่วมจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตเนื่องจากเส้นทางรถไฟทั้งหมดได้รับความเสียหาย รวมถึงทางรถไฟไปยังท่าเรือในเยอรมัน ทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าเกิดความล่าช้าซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมอย่างแน่นอน Tim Huxley ซีอีโอของบริษัทขนส่ง Mandarin Shipping บอกกับ CNBC

ขณะเดียวกันสถานการณ์น้ำท่วมในมณฑลเหอหนานของจีนต้องเจอกับความยากลำบากเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นบริเวณที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และรางรถไฟในพื้นที่ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน ทำให้อัตราค่าส่งแพงขึ้นไปด้วย

Railways
ภาพจาก Unsplash

อุตสาหกรรรมในพื้นที่อุทกภัยได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน

Huxley บอกอีกว่าหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลกจากเยอรมันอย่าง Thyssenkrupp ต้องเจอกับปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และจะกระทบไปยังอุตสาหกรรมอื่นอย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน 

สำหรับสถานการณ์ในจีน อุทกภัยครั้งนี้กระทบกับการจำหน่ายข้าวสาลีและถ่านหิน ตามข้อมูลของ Huxley ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามณฑลเหอหนานเป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำของจีนและผลิตข้าวสาลีกว่า 38 ล้านตันในฤดูร้อนนี้

สรุป

นับว่าเป็นปีที่เจ็บหนักสำหรับภาคการขนส่ง นอกจากโควิดที่ทำให้กระบวนการขนส่งล่าช้าจนค่าส่งแพงขึ้นแล้ว ยังต้องเจอกับภัยธรรมชาติที่ยากจะรับมือ ซึ่งจะยิ่งสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบมากขึ้นไปอีก

ที่มา: CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา