โจโควีทวีตข้อความว่า “ทำงานร่วมกัน เพื่อทำให้อินโดนีเซียเจริญก้าวหน้าต่อไป”
Kerja bersama, menuju Indonesia Maju … pic.twitter.com/0Ot59LXIlq
— Joko Widodo (@jokowi) October 20, 2019
โจโควีสมัย 2 มามาดใหม่ สร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์อย่างน้อย 2 เด้ง เด้งแรกคือดึงคู่แข่งอย่าง ปราโบโว สุเบียนโต (Prabowo Subianto) นั่งเก้าอี้กระทรวงกลาโหมซึ่งเคยแพ้เลือกตั้งมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยสมัยแรกของโจโควี เขาก็ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ร้องให้มีการนับคะแนนใหม่เสียด้วยเพราะคะแนนสูสีกันมาก
ปราโบโวเป็นทั้งอดีตนายพลและอดีตลูกเขยอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตที่ขึ้นชื่อเรื่องความเผด็จการ ปกครองประเทศยาวนานที่สุดเป็นเวลากว่า 32 ปี (แต่งงานกับลูกสาวของซูฮาร์โตในปี 1983 หย่ากันในปี 1998 ช่วงเกิดวิกฤติทางการเมืองในอินโดฯ) พ่อของปราโบโวเคยเป็นทั้งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและการค้า เป็นรัฐมนตรีคลังสมัยซูการ์โนประธานาธิบดีคนแรกของอินโดฯ จากนั้นก็เป็นรัฐมนตรีด้านการวิจัยในสมัยซูฮาร์โต
บิ๊กเซอร์ไพรส์เด้งแรก ดึงคู่แข่งมานั่งกลาโหม ปราโบโว ผู้มีเรื่องฉาวโฉ่ด้านละเมิดสิทธิมนุษยชน
ปราโบโวเองก็เดินสายทหารมาตลอด จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกของอินโดนีเซีย จากนั้นก็เดินสายอาชีพทหารโดยเริ่มจากผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษของอินโดฯ Kopassus มาก่อน
The New York Times พูดถึงปราโบโวว่า เขาเคยสั่งให้ลักพาตัวนักศึกษาที่เป็นนักเคลื่อนไหวมาก่อน เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักในช่วงติมอร์ตะวันออกเรียกร้องเอกราช ทั้งลักพาตัวและลอบสังหารซึ่งเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงนี้ก็ผ่านการฝึกพิเศษจากหน่วย Kopassus เอง พรรคเกรินทรา (Gerindra) ได้ที่นั่งไป 78 ที่นั่ง กลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการด้านเอเชีย จาก Eurasia Group เคยกล่าวไว้ก่อนจะประกาศผลการจัดตั้งรัฐบาลว่า ปราโบโวน่าจะได้ร่วมรัฐบาล เพราะทั้งโจโควีและปราโบโวต่างได้ประโยชน์จากการร่วมมือกัน ทั้งสองฝ่าย พรรคเกรินทราเองก็ต้องการอำนาจเพื่อท้าชิงการขึ้นเป็นผู้นำสำหรับสมัยหน้า
ทางองค์การนิรโทษกรรมสากลก็ระบุว่า การประกาศตั้งให้ปราโบโวเป็นรัฐมนตรีกลาโหมเช่นนี้ ถือเป็นวันแห่งความมืดมน (หรือยุคมืดของอินโดนีเซียเลยทีเดียว) เพราะปราโบโวขึ้นชื่อในเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน
ท่ามกลางการขึ้นมาเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหมของปราโบโว สร้างความแตกตื่นและคับข้องใจให้กับผู้คนจำนวนมากเพราะจุดยืนและภูมิหลังของปราโบโวค่อนข้างมีปัญหาในแง่การใช้อำนาจของฝ่ายความมั่นคง เขาให้สัมภาษณ์สื่อว่า
เขาจะเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยเริ่มงาน
บิ๊กเซอร์ไพรส์เด้งที่ 2 ดึงผู้ก่อตั้งและอดีต CEO แห่ง Gojek แพลตฟอร์มที่ให้บริการแบบออนดีมานด์อันดับ 1 ของอินโดนีเซีย นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีศึกษาและวัฒนธรรม
นาเดียม มาคาริม (Nadiem Makarim) รัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในคณะรัฐบาล อายุ 35 ปี ก่อตั้งโกเจ็กเมื่อปี 2010 และเพิ่งขยายกิจการไปยังต่างประเทศเมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง (Gojek บุกตลาดไทยด้วย GET)
ก่อนลงจากตำแหน่งเขาก็เขียนอีเมล์ลาบรรดาพนักงาน Gojek เขาพูดถึงบริษัทที่เริ่มต้นจากศูนย์ (ตอนนี้กลายเป็นสตาร์ทอัพระดับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดอันดับที่ 11 ของโลกไปแล้ว จากทั้งหมด 52 องค์กร) บริษัทเริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะพัฒนาชีวิตทุกคนให้ดีขึ้น และเขาก็ส่งไม้ต่อให้ผู้ร่วมก่อตั้ง 2 คนที่เหลือ ปลายปีนี้ Gojek เตรียมระดมทุนอีก 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นาเดียมให้สัมภาษณ์สื่อหลังพิธีสาบานตนว่า เขาจะใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาการศึกษาในอินโดนีเซีย โรงเรียนกว่า 300,000 แห่ง นักเรียนกว่า 50 ล้านคนนี้ เขาจะนำเทคโนโลยีเข้าไปพัฒนาระบบการบริหารด้านการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น
นี่คือการแก้ปัญหาระยะยาวสำหรับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่เฉพาะอินโดนีเซียเท่านั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงออกจาก Gojek ผมรักลูก รักครอบครัว ผมคิดว่านี่คืออนาคตของประเทศอินโดนีเซีย อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับเยาวชนของเรา
การจัดตั้งรัฐบาลสมัยที่ 2 นี้ CEO จาก Alvara Strategic Research ก็มองตรงกับ Eurasia Group ว่า โจโควีต้องการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง แต่แน่นอนว่าจะทำให้หลายฝ่ายมองว่าโจโควีอาจไม่มีคนค้านที่แข็งแกร่งมากพอ เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมที่อาจกลายเป็นอำนาจนิยมกลายๆ เพราะรวบฝ่ายค้านมาเป็นพวกเสียแล้ว
Lesehan di undak-undakan istana bersama Wakil Presiden dan para menteri Kabinet Indonesia Maju. Ada wajah lama, ada muka baru. Semuanya akan bekerja, berikhtiar bersama menuju Indonesia maju.
Pesan utama saya: jangan korupsi! Selamat bekerja. pic.twitter.com/5IpoAuFhy5
— Joko Widodo (@jokowi) October 23, 2019
โจโควีทวีตข้อความ ว่า “คณะรัฐมนตรีชุดนี้มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ทุกคนจะทำงานร่วมกันเพื่อทำให้อินโดนีเซียก้าวหน้าต่อไป ข้อความหลักที่เขาย้ำอยู่หลายข้อความคือ จะไม่คอรัปชั่น และจงทำงานกันอย่างมีความสุข”
ภาพบรรยากาศขณะคณะรัฐมนตรีเข้าสาบานตน สิ่งที่โจโควีกล่าวไว้ ประการแรก ปิดประตูการคอรัปชั่น เขาจะสร้างระบบที่ทำให้ไม่เกิดการคอรัปชั่น ประการที่สอง จะไม่มีวิสัยทัศน์หรือภารกิจมาจากรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวิสัยทัศน์และภารกิจที่มาจากประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
ประการที่สาม พวกเราทั้งหมดจะทำงานอย่างรวดเร็ว ทำงานอย่างหนักและทำงานให้มีประสิทธิภาพ ประการที่สี่ เราจะไม่ทำให้งานประจำมีปัญหา ประการที่ห้า เรื่องงานต้องมาก่อน
โจโควีกล่าวหลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องคือการคอรัปชั่น อีกห้าปีอินโดนีเซียจะมุ่งพัฒนาทรัพยากรบุคคล สร้างงานให้ประชาชน และเพิ่มอำนาจให้แก่บริษัท วิสาหกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น รัฐบาลจะมุ่งทำงานอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ
Seusai melantik menteri Kabinet Indonesia Maju, saya kembali bekerja, sebagaimana lima tahun kemarin.
Para menteri juga langsung bekerja. Saya tidak memberi target 100 hari, karena Kabinet Indonesia Maju melanjutkan pekerjaan kabinet sebelumnya. pic.twitter.com/msJ7xL4fom
— Joko Widodo (@jokowi) October 23, 2019
โจโควีบอกว่า เขาจะไม่ให้คำสัญญาใดๆ ในอีก 100 วันข้างหน้า เพราะคณะรัฐมนตรีชุดนี้จะสานต่องานที่ทำค้างไว้จากรัฐบาลชุดที่แล้วให้สำเร็จ (สานต่องานตัวเองต่อไป)
สรุป
รัฐบาลโจโควีประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี 38 ราย มาจากพรรคการเมือง 6 พรรค มีที่นั่งในรัฐสภาครองเสียงส่วนมากในอัตรา 74% หรือ 427 ที่นั่ง จากทั้งหมด 575 ที่นั่ง ความน่ากังวลใจที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและผู้คนที่เฝ้ามองอินโดนีเซียอยู่ คือการขึ้นมาของปราโบโว เจ้ากระทรวงกลาโหม ที่เคยมีข่าวฉาวเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน
ปัจจุบัน รัฐบาลชุดที่สองของโจโควีกำลังประสบปัญหาทางการเมืองภายในอย่างหนัก ก่อนเปิดตัวรัฐบาลชุดใหม่ มีคนประท้วงทั้งเรื่องออกกฏหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน และความขัดแย้งของชาวปาปัว แต่ดันให้ปราโบโวขึ้นดูแลความมั่นคง ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าถ้าเกิดเหตุความขัดแย้งภายในประเทศขึ้นมา ปราโบโวที่ผู้คนต่างจับตามองจะจัดการความวุ่นวายนี้อย่างไร
ที่มา – Nikkei Asian Review, Gojek, The New York Times, The Guardian, The Straits Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา