ดูหนัง “นาคี 2” กับ “Homestay” เทียบหน้าหนัง ความสำเร็จ และความแตกต่าง

ช่วงที่ผ่านมาหนังไทยที่ถูกกล่าวถึงในโลกออนไลน์อยู่พอสมควร หนีไม่พ้น 2 เรื่อง คือ Homestay จากค่ายหนังฟีลกู้ด GDH และ นาคี 2 จากผู้ผลิตในเครือของทางช่อง 3 BEC

Homestay ทำรายได้ไปมากกว่า 70 ล้านบาท ขณะที่ นาคี 2 ทะลุ 400 ล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว ลองมาถอดรหัสกันดูว่า หนังทั้ง 2 เป็นอย่างไรกันบ้าง

นาคี 2 แรงต้นดี แต่ไม่มีแรงปลายเสริม บทเรียนคนละครมาทำหนัง

Brand Inside ได้วิเคราะห์เรื่องราวของ นาคี 2 ไว้ที่นี่ มีจุดสำคัญหลายแห่งที่ทำให้ นาคี 2 ประสบความสำเร็จในแง่รายได้ เช่น การได้ ณเดชน์ – ญาญ่า ซึ่งมีแฟนคลับ #NY รอดูทั้งคู่ขึ้นจอเงินแบบใหญ่ๆ เต็มตา ตัวหนังมากับความเชื่อเรื่องพญานาคในจังหวะออกพรรษาพอดิบพอดี

ทำให้ นาคี 2 เป็นหนังไทยที่เปิดตัวแรงที่สุดอันดับ 1 ในปี 2561 แซงหน้า น้อง.พี่.ที่รัก (ซึ่งแสดงโดย ญาญ่า เช่นเดียวกัน) และกลายเป็นหนังไทยทำเงินสูงสุดในปีนี้ไปแล้ว

แต่ดูจากกระแสตอบรับในโลกโซเชียลที่ไม่ได้เป็นบวก นอกจากหน้าหนังที่เน้นขายนักแสดง นาคี 2 ไม่ได้มีอะไรใหม่ที่น่าติดตาม ทำให้ “แรงปลาย”​ หรือพลังบอกต่อให้คนไปดูเพิ่ม (หรือดูรอบสอง) รายได้ของหนังในสัปดาห์ถัดมาจึงลดลงไปพอสมควร เรียกว่า แรงในตอนแรกแต่ไม่แรงยาว เพราะหนังไม่ได้เชื้อเชิญให้คนมาดูซ้ำ

อาจเป็นบทเรียนของ “คนละคร” ที่พัฒนาบทมาทำเป็นหนัง ในเรื่องถัดไป เพราะถือเป็นคนละสายกัน

Homestay หน้าหนังดี ดึงทั้งแฟน GDH และ โอตะ

สำหรับเรื่อง Homestay อย่างที่รู้กันว่าพัฒนามาจากหนังสือแปล อ่านเพิ่มเติมที่นี่ จุดขายของหนังเรื่องนี้คือ ความเป็น GDH ที่ปกติจะทำหนังฟีลกู้ดทั้งหลาย และได้พลังโอตะ BNK48 จากเฌอปราง เข้ามาสมทบด้วย แม้เปิดตัวมาไม่แรงเท่า นาคี 2 แต่ก็ยืนระยะได้ดี

ถ้าเป็นจุดที่แตกต่างจาก GDH เดิม ก็คือ Homestay เป็นหนังแนวหม่นหมอง (ไม่ฟีลกู้ดแบบ GDH เดิม) ซึ่งคนไทยอาจไม่ได้ถูกจริตกับหนังหม่นๆ สักเท่าไร ทำให้ฟีดแบ็คแม้จะดี แต่ก็ไม่เท่าหนังอารมณ์ดีหลายๆ เรื่อง

อีกประเด็นสำคัญคือ หน้าหนัง Homestay ไม่ตรงกับเทรลเลอร์ที่ปล่อยออกมา ทำให้ความคาดหวังก่อนไปดูกับหลังจากดูจบแล้วของคนดูให้ความรู้สึกขัดแย้งและแตกต่าง (ถ้าหม่นหมองแล้วคนจะไม่ไปดู)

แต่อย่างน้อยแรงปลายของ Homestay ก็ยังดีอยู่ และทำได้ตามมาตรฐานหนัง GDH รายได้ทะลุ 70 ล้านบาท

จาก นาคี 2 ถึง Homestay

สำหรับ นาคี 2 เป็นการชิมลางความสำเร็จในการต่อยอดจาก ละคร สู่ หนังใหญ่ ของช่อง 3 ที่คาดว่าจะมี “บุพเพ สันนิวาส” ตามออกมาอีกเรื่องในเวลาไม่นานนัก ตามสูตรสำเร็จเมื่อของขายได้ก็ต้องรีบหน่อย แต่โจทย์คือ จะทำอย่างไรให้เนื้อหามีความน่าสนใจ ดึงดูดให้คนไปดูในโรงหนัง

แต่เอาจริงๆ ถ้าทำรายได้ระดับ 300-400 ล้านบาทได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยแล้ว

ส่วน GDH มีสูตรสำเร็จของตัวเองอยู่แล้วกับหนังฟีลกู้ด เชื่อว่า การทำหนังหม่นหมองบ้าง น่าจะเป็นการทดลองหนังรสชาติใหม่ๆ ออกสู่ตลาดสลับกับหนังปกติที่มีมาเรื่อยๆ ใครไปดูหนังทั้ง 2 เรื่องนี้มาแล้ว อย่าลืมมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา