หลังจากใช้กฏ MiFID II เกิดอะไรขึ้นบ้างกับตลาดหุ้นทั่วโลก

หลังจากทาง Brand Inside ได้วิเคราะห์เรื่องของ MiFID II ไปอย่างคร่าวๆ แล้ว ซึ่งทำให้การทำงานในภาคการเงินในทวีปยุโรปนั้นเกิดความอลหม่านพอสมควร อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์แรกในการบังคับใช้กฏ MiFID II อย่างเป็นทางการ มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถึงแม้ว่าจะมีการคาดเดาว่าตลาดในอาทิตย์แรก (หรือแม้แต่วันแรก) นั้นจะมีความโกลาหลแน่นอน แต่ดูเหมือนว่าจะทุกอย่างจะดูเรียบร้อยกว่าที่คาดกันไว้มาก Steven Maijoor ซึ่งเป็นหัวหน้าของ European Securities and Markets Authority ได้กล่าวว่ายังไม่เห็นความบกพร่องใดๆ ที่เกิดจากเรื่องนี้ แต่ตัวเขาก็ได้เตือนว่าต้องรอดูจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่หลังจากการใช้กฏข้อบังคับนี้

แต่ยังมีหลายๆ ส่วนในตลาดทุนที่ยังไม่พร้อมและรวมไปถึงท่าทีของสถาบันการเงินด้วย

ตลาดซื้อขายล่วงหน้าหลายๆ แห่งในยุโรปยังไม่พร้อมใช้ MiFID II

ตลาดซื้อขายล่วงหน้าหลายๆ ที่อย่าง ICE Futures Europe หรือ London Metal Exchange ได้เลื่อนระยะเวลาที่กฏ MiFID II จะมีผลบังคับนั้นเลื่อนไปอีก 30 เดือน ส่วนตลาดซื้อขายล่วงหน้าในเยอรมันอย่าง Eurex ได้เลื่อนการใช้กฏ MiFID II ไปเป็นวันอังคารหน้า โดยปัญหาของ Eurex นั้นเกิดจากปัญหาของ Brexit ที่จะต้องส่งคำสั่งชำระราคาไปที่อังกฤษซึ่งเป็นที่ชำระราคาในทวีปยุโรปที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งหลังจาก Brexit นั้นทำให้เกิดปัญหามาว่าจะใช้กฏนี้บังคับยังไง และประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือกฏใหม่ของ MiFID II ในเรื่องของตลาดซื้อขายล่วงหน้าคือ นักลงทุนสามารถซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดที่หนึ่ง (เช่น ฝรั่งเศส) และสามารถปิดคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าที่อื่นได้ (ยกตัวอย่างเช่นที่ เยอรมัน) ทำให้ปัญหานั้นปวดหัวกว่าที่คาด

ปริมาณการซื้อขายในทวีปยุโรปลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลจาก MarketAxess ซึ่งเป็นระบบซื้อขายตราสารหนี้ แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายวันแรกหลังจากมีกฏ MiFID II นั้น ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ที่มีสกุลเงินเป็นยูโรลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งลดลงไปถึง 24% โดยลดลงจากปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ที่เฉลี่ยในรอบ 30 วัน ซึ่งนักลงทุนกำลังจับจ้องกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยเฉพาะสถาบันการเงินในทวีปยุโรปซึ่งส่วนใหญ่ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้จะมาจากเหล่าสถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ปริมาณการซื้อขายของดัชนี Bloomberg STOXX 600 ซึ่งเป็นดัชนีรวมหุ้นในทวีปยุโรป 600 ตัว ก็แสดงให้เห็นว่าปริมาณซื้อขายนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เอเชียก็หนีไม่พ้นเช่นกัน

ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วทั้งเอเชียซึ่งทาง Credit Suisse ได้วิเคราะห์ในบทวิเคราะห์ล่าสุด มีปริมาณการซื้อขายจากสถาบันการเงินต่างประเทศใน 2 วันแรก มีเพียงแค่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยทาง Credit Suisse ได้วิเคราะห์ไว้ว่าปริมาณการซื้อขายที่เหือดแห้งนี้น่าจะเป็นเพราะสาเหตุหลักมาจาก MiFID II ซึ่งสถาบันการเงินต่างระวังตัวมากขึ้น ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายนั้นลดลงอย่างเห็นได้ขัด

ผู้บริหารวาณิชธนกิจบอกว่าไม่ได้นอน เพราะต้องมาดูการเตรียมระบบหลังบ้าน

Financial Times ได้ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารวาณิชธนกิจแห่งหนึ่งซึ่งไม่ได้ระบุธนาคาร ตัวเขาเองได้กล่าวว่าต้องมาตั้งแต่คืนวันที่ 2 มกราคม เพื่อมาดูการเตรียมความพร้อมของระบบ Software และรวมไปถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานของระบบ IT และรวมไปถึงระบบออกรายงาน เพราะว่า MiFID II ต้องมีการเก็บรายงานแบบละเอียดมากขึ้น สอดคล้องกับรายงานของ Opimas ว่าจะมีค่าใช้จ่ายรวมในอุตสาหกรรมการเงินรวมกันสูงถึง 2,500 ล้านยูโรสำหรับการเตรียมความพร้อมเรื่องพวกนี้

ที่มาFinancial Times, Bloomberg [1], [2]

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ