กระแสเกลียดกลัวหรือชังคนจีน หรือคนชาติอื่นกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเกลียดกลัวคนชาติอื่น หรือที่เรียกว่า Xenophobia มักมีที่มา หลายครั้งก็เกินกว่าเหตุ แต่เราจำเป็นต้องจัดการกับความกลัวในใจของเราเสียก่อน ไม่เช่นนั้น เราจะใช้ชีวิตอย่างกังวล ทุกข์ใจ และส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง
xeno มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า xenos แปลว่า แปลกแยก แตกต่าง ความแปลกหน้า หรือคนต่างประเทศ ขณะที่คำว่า phobos มีความหมายว่า ความกลัว ภาษาอังกฤษใช้คำว่า phobia รวมเป็น xenophobia
ผู้คนจากทั่วโลกต่างหวาดกลัวและเริ่มแสดงอาการเกลียดชังต่อคนจีนอย่างชัดเจนมากขึ้น หลายคนกลัว กลัวและเกลียดเพราะความไม่รู้ เราไม่รู้ว่าถ้าเราติดเชื้อ เราจะมีอาการหนักขนาดไหน ร่างกายเราจะรับไหวไหม
อาการป่วยของเราจะทำให้คนใกล้ชิดป่วยตามหรือไม่ เมื่อเราป่วยเราจะถูกแยกตัวเพื่อกักกันโรคไม่ให้เจอผู้คนนานแค่ไหน เราต้องอยู่ลำพังกับบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้นเราจะทนไหวไหม?
A Chinese nurse in a coronavirus-hit hospital in Henan Province gives her sobbing daughter an "air hug." #coronavirus pic.twitter.com/mNZ5SFcPYk
— China Xinhua News (@XHNews) February 4, 2020
ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า เรากลัว เรากลัวติดโรค เรากลัวป่วย การป่วยทำให้เราเสียโอกาสในชีวิตหลายอย่าง ทั้งหน้าที่การงานที่ต้องกลายเป็นภาระ เพราะสภาพร่างกายแบกรับไม่ไหว ทั้งค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสีย เพื่อรักษาตัวเองให้หายป่วย
รวมถึง กลัวตาย เพราะมีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบหลายอย่าง อย่างน้อยเราหลายคนต่างไม่อยากตายด้วยความทรมาน ถ้าจะตายก็คงต้องการตายอย่างสงบ ถ้ามีคนให้ดูแลหรือเป็นห่วงอยู่ เราก็คงไม่อยากจากไปก่อนเวลาอันควร
ความกลัวที่ว่านี้ ความไม่รู้และความคลุมเครือหลายเรื่อง ทำให้เรายิ่งกลัว
กว่าเรื่องคนป่วยในจีนจะเปิดเผยอย่างชัดเจน กว่าจีนจะสั่งปิดเมืองที่มีเชื้อไวรัสระบาด คนก็ติดเชื้อไป 600 กว่าคนแล้ว กว่าทางการจีนจะยืนยันว่ามีคนอู่ฮั่นออกมาจำนวนเท่าไรก่อนปิดเมือง เวลาก็ผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์ หลังมีการประกาศว่าเชื้อไวรัสสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ และคนอู่ฮั่นที่ออกมา ก็มีจำนวนมากราว 5 ล้านคน ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า 5 ล้านคนนั้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อเท่าไร เดินทางไปที่ไหนบ้าง พำนักอาศัยที่ไหนนอกจีนบ้าง
ยิ่งไม่รู้ ยิ่งกลัว ยิ่งกลัวมาก กลายเป็นความเกลียดชัง ความกลัวยิ่งขยายตัวเมื่อมีคนติดเชื้อไวรัสนอกประเทศจีน และยังเกิดขึ้นกับคนที่ไม่เคยไปจีนแต่เกี่ยวพันกับจีนเช่น คนขับรถที่พานักท่องเที่ยวเดินทางไม่ว่าจะที่ญี่ปุ่นหรือไทย ผู้นำหลายประเทศต่างสั่งปิดเมือง ไม่ต้อนรับคนจีนเพื่อปกป้องประชาชนให้รอดพ้นจากการรับเชื้อไวรัส
เช่น มาเลเซียสั่งระงับวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ผู้นำฟิลิปปินส์ก็หยุดให้วีซ่าคนจีน ผู้นำสิงคโปร์ก็สั่งแบนนักท่องเที่ยวจากหูเป่ย์ จีน แม้กระทั่ง ฮ่องกงก็สั่งปิดชายแดนเชื่อมจีนเช่นกัน ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาเรียกความมั่นใจทั้งคนในและคนนอกประเทศว่าสามารถคุมสถานการณ์อยู่ถึง 100%
ผู้นำหลายชาติต่างเดินหน้าอพยพขนคนสัญชาติตนกลับประเทศ ทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐฯฝรั่งเศส มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ตั้งแต่ก่อนสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในส่วนของไทยนั้น ก็ประกาศว่าตนเองก็พร้อมเช่นกัน และได้พาคนไทยกลับประเทศวานนี้ 4 กุมภาพันธ์ 2563 จำนวน 138 คน ในจำนวนนี้มี 6 คนที่มีไข้ ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือเข้าสู่กระบวนการกักกันโรค
สถานการณ์ล่าสุด รายงานแบบเรียลไทม์จาก 2019-nCoV Global Cases by Johns Hopins CSSE ระบุว่า มีคนติดเชื้อไวรัสโคโรนามากถึง 24,402 ราย เสียชีวิต 492 ราย รักษาหาย 903 ราย
มาถึงวันนี้ นับตั้งแต่ที่ทางการจีนยืนยันว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ เวลาก็ผ่านมา 2 สัปดาห์ สิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ ความกังวลแผ่ขยายแทบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ผู้คนสืบหาซื้อหน้ากากอนามัยหรือเจลค่าเชื้อไม่ได้ นอกจากความกลัวแล้ว เรายังขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือต่อสู้กับความกลัวเพื่อป้องกันตัวเอง
"หน้ากากอนามัย" จากกล่องละ 35 ขึ้นเป็น 250 ไม่ขายชิ้นละพันไปละจะได้รวยยย แทนที่จะขายราคาเดิม ทุกกลุ่มคนจะได้มีโอกาสซื้อเพื่อใส่ป้องกันการแพร่ระบาด ถ้าโรคมันแพร่รุนแรงขึ้นเงินที่ขายได้ก็ไม่ได้ใช้หรอก.. #ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019#หน้ากากอนามัย#ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
— ⓌⒺⒺⓇⒶⓎⓊⓉ Ⓛ. (@LWeeDeeN) January 27, 2020
ไม่พอใจกับราคาหน้ากากอนามัยมาก
เดี๋ยวนะ คือฉวยโอกาสด้วยวิธีทุเรศๆแบบนี้ก็ได้หรอ คือแพงหูฉี่เลยอะ ทานโทษ ร้อยวันพันปี ตอนpm2.5 ไม่เห็นแพงงี้อะ แจกฟรีก็มี พอ #ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เข้า ขายแพงระเบิดขนาดนี้เลย เห็นใจคนรายได้น้อยด้วย #หน้ากากอนามัย— ขายไอจี ต่อคิว หิ้วตามคอน (@wpryu11) January 29, 2020
กับคนไทยบอกเสียภาษีนำเข้า แล้วที่คนจีนขนออกนี่ เสียเท่าไหร่ถามจริง คนไทยหาซื้อลำบากมาก เพราะคนจีนเล่นขนกลับประเทศตัวเอง จริงๆรัฐบาลควรออกมาตรการในจำกัดจำนวนซื้อนะ #ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019 #ประชุมสภา #รัฐบาลเฮ็งซวย pic.twitter.com/AGnGdWAZ9J
— ?️?มีแค่เพียง ความว่างเปล่า?️? (@14loveloveKF) January 29, 2020
ไปหาซื้อหน้ากาก N-95 3M ตามร้านขายยาไม่มีเลย ได้ตรางูที่ Watson มาแทนแต่ก็น่าจะใช้ดีเหมือนกัน น่ากลัวมากโคโรนา ติดต่อจากคนสู่คนแล้ว #ไวรัสโคโรน่า #ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่2019 #หน้ากากอนามัย pic.twitter.com/LrNB6amt1t
— Now And Forever (@ChillCh13774991) January 31, 2020
มีข่าวบิดเบือนว่าหน้ากากราคาแพง กระทรวงพาณิชย์ไปตรวจแล้วไม่แพงเกินไป
ประเทศนี้รัฐบาลเคยตรวจเจออะไรแพงบ้าง ?
หวย ? หน้ากาก ? รถถัง ? เรือดำน้ำ ? #หน้ากากอนามัย #saveน้ําสิงห์ #รัฐบาลเฮงซวย pic.twitter.com/deDpOOuWsQ
— ซ้อขอเล่า (@sorkorlao) February 3, 2020
ความจริงวันนี้ของหน้ากากอนามัย จากร้านขายยาในห้างดังย่านลาดพร้าว คนขายยาหลายร้านย่านนั้นไม่มีคำตอบว่าจะมีของได้เมื่อไหร่ อยากให้กระทรวงพาณิชย์จัดงานมหกรรมสินค้าหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือที่เมืองทอง จะได้เจอ200 ล้านชิ้นที่ว่า #หน้ากากอนามัย pic.twitter.com/26MiL2gccY
— orawan ข่าวเข้ม (@tukorawan) February 4, 2020
รัฐบาลแจงว่าเข้ามาควบคุมราคาแล้ว สามารถโทรแจ้งสายด่วนกรมการค้าภายในได้เลย ที่เบอร์ 1569
ยิ่งกลัว ยิ่งต้องทำความเข้าใจ เพื่อเรียนรู้วิธีรับมือ
ยิ่งจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น คนยิ่งกลัว แต่ถ้าเราไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน จะยิ่งน่ากลัวกว่า เพราะเราจะเฝ้าระวังไม่ได้ การรู้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งที่ให้เราเรียนรู้ที่จะจัดการกับความกลัว จัดการกับความขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือเพื่อป้องกันตัวเอง อย่างหน้ากากอนามัย เจลฆ่าเชื้อ สัญญาณชัดเจนเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลต้องออกประกาศควบคุมราคา
TIME รายงานว่า ในออนแทริโอ แคนาดา เด็กๆ ที่เคยจับกลุ่มเล่นด้วยกัน ต่างแสดงอาการรังเกียจหรือหวาดกลัว รวมทั้งเพิกเฉยต่อเด็กลูกครึ่งเชื้อสายจีน พวกเขาไม่อยากข้องแวะกับเด็กคนนี้เพราะกลัวติดเชื้อไวรัส
ขณะที่ทางโซเชียลมีเดีย ฝรั่งเศส ต้องติด #JeNeSuisPasUnVirus ที่แปลว่า ฉันไม่ใช่ไวรัส เพราะแรงกดดันจากสายตาคนรอบข้างที่กำลังหวาดกลัว
Je suis Chinois
Mais je ne suis pas un virus!!
Je sais que tout le monde a peur au virus, mais pas de préjugé, svp.#JeNeSuisPasUnVirus pic.twitter.com/38bUTNWj3t— Lou Chengwang (@ChengwangL) January 28, 2020
แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย ที่น่าจะเข้าใจเรื่องการเกลียดกลัวคนต่างชาติมากกว่าในองค์กรอื่น ก็ยังเผยแพร่ข้อความที่บอกว่า การเกลียดกลัวชาวต่างชาติหรือช่วงเวลาแห่ง xenophobia นี้คือปรากฏการณ์ปกติ ต้องเข้าใจ ทั้งๆ ที่ตามจริง ควรจะทำให้คนหายกลัวด้วยการทำความเข้าใจกับโรคหรือการแพร่เชื้อไวรัสเพื่อหาทางรับมือกับมันมากกว่ากลัวเพราะข้อมูลที่คลุมเครือไม่ชัดเจน และ Xenophobia ไม่ใช่ปรากฏการณ์ปกติ
Confused and honestly very angry about this Instagram post from an official @UCBerkeley Instagram account.
When is xenophobia ever a “normal reaction”? pic.twitter.com/hH4AgQKluM
— Adrienne Shih (@adrienneshih) January 30, 2020
จนในที่สุดเมื่อมีผู้คนทักท้วงกับท่าทีดังกล่าว สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนแปลงประกาศนั้นและกล่าวคำขอโทษ
We apologize for our recent post on managing anxiety around Coronavirus. We regret any misunderstanding it may have caused and have updated the language in our materials.
— Tang Center at Cal (@TangCenterCal) January 30, 2020
ในอินโดนีเซียก็มีการติดแฮชแท็ก # ในโซเชียลมีเดีย ให้แบนนักท่องเที่ยวจีนชั่วคราว ในสิงคโปร์ก็มีข้อความล้อเลียนพฤติกรรมการทานอาหารของคนจีน เช่น “คนจีนทาานอะไรก็ได้ที่มี 4 ขา ยกเว้นโต๊ะ คนจีนทานอะไรก็ได้ที่บินได้ แต่ไม่ใช่เครื่องบิน” ตลอดจนการสร้างมีมที่ระบุว่า ไวรัสโคโรนานี้อยู่ไม่นานหรอก เพราะมัน made in China
ร้านค้าหลายแห่งในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง เกาหลีใต้ เวียดนาม และญี่ปุ่น ต่างก็ติดป้ายห้ามคนจีนเข้าร้าน เราไม่ต้องการให้คนจีนแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่น่าสนใจนอกจากรักษาร่างกายให้แข็งแรง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลฆ่าเชื้อโรค ไม่เอามือสัมผัสที่หน้า ตา จมูก ปากหากไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยไอ จาม ไม่ไปไนพื้นที่โรคระบาด ไม่ไปอยู่ในที่ที่คนหนาแน่น เหล่านี้ ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่ที่ผู้คนหนาแน่นได้ ก็คือ การย้ายที่ทำงานจากออฟฟิศเป็นบ้านตัวเอง
Work from home ทางเลือกที่น่าสนใจในห้วงยามที่ผู้คนต่างหวาดกลัว
ในเมื่อเราเลี่ยงที่จะไม่ไปทำงานโดยไม่ต้องเผชิญผู้คนหนาแน่นจากการโดยสารขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ หรือรถไฟฟ้า เรือ ที่รวมผู้คนทั้งไทยและเทศ ยืนหายใจรดกันแบบแพร่เชื้อกันได้ไม่ยาก โดยเฉพาะคนที่จามและไอแบบไม่ได้ใช้ทิชชูปิดปาก เราก็เลือกทำงานที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ?
ไม่ว่าฝุ่น PM 2.5 ที่กลับมาให้เราได้กังวลกันอีก รวมถึงเชื้อไวรัสโคโรนา ถ้าเราไม่ต้องเดินทาง ก็ตัดปัญหานี้ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่ตอนเดินทาง ก็ต้องควานหาหน้ากากอนามัยที่หากหาซื้อลำบาก หาตัวช่วยไม่ได้ก็ต้องลงมือเย็บผ้าเอง
ทางเลือกที่เราต้องเผชิญหน้ารับมือสำหรับคนไม่มีทางเลือกในการ Work from home ก็คือการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ทำความเข้าใจว่าหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นแล้วรักษาให้หายได้ มีอัตราการตายต่ำ คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งมักจะเป็นกลุ่มเด็กและกลุ่มผู้สูงอายุ และถ้าคุณคือกลุ่มเสี่ยงก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้ไกลจากโรคนี้ตามมาตรการป้องกันตัวเองข้างต้น รวมถึงทำความเข้าใจการแพร่เชื้อไวรัสอย่างละเอียด
อัตราการเสียชีวิตต่ำในที่นี้เราไม่ได้เทียบกับคนหลักแสนหลักล้านอย่างที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเอาไปเทียบกับคนทั้งเมืองอู่ฮั่น เราเทียบกับกับอัตราการติดเชื้อ 24,402 ราย เสียชีวิต 492 ราย รักษาหายแล้ว 903 ราย มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2.01%
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา