การแทรกซึมของภาพจำผ่านวัฒนธรรมลักษณะนี้ สะท้อนการเติบโตของตลาดเดลิเวอรี่ที่กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกกระแสหลักของสังคม
ภาพจำของคนขับรถส่งของ กับตลาดเดลิเวอรี่ที่เติบโต
ภาพของคนขับรถส่งของกลายเป็นภาพจำที่คนเมืองคุ้นชินบนท้องถนน ถ้าดูตัวเลขการเติบโตของตลาดเดลิเวอรี่ ไม่ว่าจะที่ใดในโลก ล้วนเติบโตอย่างถ้วนหน้า
- ในจีนปี 2018 มีอัตราการเติบโตของตลาดเดลิเวอรี่สูงกว่าการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซถึง 2 เท่า
- ในสหรัฐอเมริกา บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks ต้องจับมือ UberEats เพื่อส่งกาแฟเดลิเวอรี่ทั่วประเทศ
- ในไต้หวัน คนรุ่นใหม่ที่เรียนจบปริญญาตรี เลือกทำงานขับรถส่งของ มากกว่าจะทำงานออฟฟิศแบบเดิมๆ
- หรือ Grab ที่เป็นเจ้าตลาดรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เคยบอกว่า ธุรกิจเดลิเวอรี่คืออนาคตของบริษัท
แน่นอนว่า ภาพแบบนี้สะท้อนการเติบโตของตลาดเดลิเวอรี่ ที่ในปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในทางเลือก “กระแสหลัก” ของสังคมคนเมืองและในอีกหลายพื้นที่ไปแล้ว
อย่างไรก็ดี หากตัดเรื่องตัวเลขหรือสถิติออกไป เราสามารถมองเห็นการสร้างภาพจำของคนขับรถส่งของผ่านวัฒนธรรมกระแสหลักได้ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น การปรากฏตัวในรายการเกมโชว์ เพลง-มิวสิควิดีโอ ภาพยนตร์สั้น และอื่นๆ อีกมากมาย
ลองไปดูตัวอย่างกัน
กรณีศึกษาจากจีน
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ คนขับรถส่งของจากแอพพลิเคชั่นเดลิเวอรี่เบอร์ 1 ในจีนอย่าง Meituan-Dianping ซึ่งมีออร์เดอร์ส่งอาหารกว่า 25 ล้านรายการต่อวัน กำลังเป็นกระแสร้อนแรงในโซเชียลมีเดียจีน เนื่องจากมีคนขับรถส่งของไปปรากฏในรายการเกมโชว์ ทั้งร้องเพลง ทำอาหาร หรือแม้กระทั่งอัดคลิปเต้นบนถนนจนเป็นกระแสไวรัลไปทั่วประเทศ
ไม่หมดเพียงเท่านั้น ภาพจำของคนขับรถส่งของที่ปรากฏผ่าน “เสื้อสีเหลือง” อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้กลายเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” โดยมีการนำเอาชุดของคนขับรถส่งของ Meituan-Dianping ไปขายบน Taobao แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน และแน่นอนว่า ได้รับความนิยมอย่างสูง
- บทความอ่านเพิ่มเติม ทำความรู้จัก Meituan-Dianping รู้จัก 3 บริษัทเทคจีนยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ใช่ Baidu, Alibaba และ Tencent
กรณีศึกษาในไทย
ไม่ใช่แค่จีนเท่านั้น ในไทยเอง เราก็ได้เห็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมทำนองนี้มาแล้วสักพัก ยกตัวอย่างเช่น Kerry Express ที่มีเพลงเป็นของตัวเองชื่อว่า “ให้เคอรี่มาส่งได้บ่” ซึ่งเนื้อเรื่องของเพลงนี้คือการตกหลุมรักกับคนส่งของในครั้งแรกที่พบ ดังนั้นเธอจึงสั่งของออนไลน์ถี่ขึ้น เพื่อต้องการจะได้พบกับคนขับรถส่งของอีกครั้งเพื่อบอกความในใจ
ปัจจุบันเพลงนี้มียอดรับชมมากกว่า 154 ล้านวิวบน YouTube
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ “ออเดอร์ส่งรัก” ของ Grab ที่นำเสนอ GrabFood บริการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ และสุดท้ายดูแลดีจนได้สานสัมพันธ์กันต่อ และได้สร้างวลีเด็ดขึ้นมาที่ว่า “รักแท้แพ้ grab” ปัจจุบันมียอดรับชมกว่า 1.2 ล้านวิว
การเล่นกับเพลงจากฝั่ง LINEMAN ก็น่าสนใจ เพราะจับเอากระแสของการแต่งเพลง/ร้องเพลงแบบร่วมสมัยในสังคมไทยมาผสมผสาน โดยมีทั้งการแปลงเพลง และขับร้องใหม่ในรูปแบบเพลงป๊อปที่มีแนวฮิปฮอปและท่อนแรพชนิดที่หาได้ทั่วไปในรายการร้องเพลงในยุคนี้
สรุป
จากกรณีศึกษาภาพจำของคนขับรถส่งของจากจีนถึงไทยสะท้อนภาพของตลาดส่งของเดลิเวอรี่ที่ได้รับความนิยม แต่ถึงที่สุดก็ปฏิเสธได้ยากว่า จริงๆ แล้ว มันคือปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเองแบบ organic หรือทางแบรนด์จงใจให้เกิดขึ้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่สะท้อนจากการนำเอาคนขับรถส่งของมาเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมในลักษณะนี้ ทำให้เราเห็นได้ชัดว่า เทรนด์การส่งของแบบเดลิเวอรี่ได้กลายเป็น New Normal แห่งยุคสมัยของหลายสังคมไปแล้ว
จากยอดวิว ยอดชม และการตอบรับผ่านสินค้าทางวัฒนธรรม เช่น มิวสิควิดีโอที่ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ ถึงที่สุด มันบอกเราอย่างหนึ่งว่า จำนวนของคนขับรถส่งของและลูกค้าที่สั่งซื้อของผ่านออนไลน์มีจำนวนมากพอ ที่จะยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องจริง และเป็นภาพที่แสนปกติในสังคมยุคปัจจุบัน
Disclaimer: Brand Inside เป็นบริษัทลูกในเครือของ Wongnai
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา