หัวหน้า GrabFood บอก ธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่จะทำให้บริษัทมีกำไรในระยะยาว

ปีนี้ GrabFood เติบโตอย่างมาก ถ้ามองในแง่ยอดขายรวมของ Grab ทั้งบริษัท ปัจจุบันธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่ครองสัดส่วนไปแล้ว 20% เติบโตขึ้นจากปีก่อน 2018 ที่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของบริษัทเท่านั้น

GrabFood
GrabFood Photo: Shutterstock

ธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่ กำไรดีกว่า ธุรกิจเรียกรถ

Kell Jay Lim หัวหน้า GrabFood ระดับภูมิภาค ให้สัมภาษณ์กับ CNBC โดยระบุว่า ธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่ของ Grab ไปได้ดีมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับตัวเลขในปีก่อนหน้า ดังนี้

  • ปี 2018 ธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่ของ GrabFood มีสัดส่วนของยอดขายรวม (GMV) ในบริษัทเพียง 5%
  • ปี 2019 ธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่ของ GrabFood มีสัดส่วนของยอดขายรวม (GMV) ในบริษัทถึง 20%

GrabFood เริ่มให้บริการครั้งแรกในปี 2016 ช่วงแรกยังไม่เติบโต แต่หลังจากนั้นเมื่อเข้าซื้อธุรกิจ Uber ที่มี UberEats ทำให้ปัจจุบันให้บริการในกว่า 200 เมืองในอินโดนีเซีย รวมถึงในไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปินส์ และเวียดนาม

Lim เผยว่า ถ้ามองในแง่ยอดขายรวมของบริษัท ธุรกิจ GrabFood ในปี 2019 เติบโตถึง 900% แบบปีต่อปี (YoY) สิ่งนี้ทำให้ Grab เชื่อมั่นว่า ธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่อย่าง GrabFood ยังมีโอกาสอีกมากในการเติบโต

  • “เราเห็นแล้วว่าธุรกิจส่งอาหารเดลิเวอรี่สามารถทำกำไรได้ดีกว่าธุรกิจเรียกรถ ซึ่งเราเชื่อว่าธุรกิจส่งอาหารจะทำให้ Grab เติบโต และทำให้บริษัทมีกำไรในระยะยาว” Lim กล่าว
GrabFood
GrabFood Photo: Shutterstock

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน GrabFood มีร้านค้าในมือกว่า 200,000 ร้านค้าทั่วภูมิภาค ส่วนตัวเลขการส่งอาหารเดลิเวอรี่ในแต่ละวันไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เท่าที่ระบุไว้และเปิดเผยได้คือ ในเวียดนามอัตราการใช้ GrabFood มีตัวเลขการส่งอาหารเดลิเวอรี่ต่อวันที่ประมาณ 300,000 ครั้ง ส่วนในไทยช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของปีนี้ มีตัวเลขการส่งอาหารเดลิเวอรี่ทั้งหมดแล้วกว่า 4 ล้านครั้ง

ที่มา – CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา