Human Rights Watch องค์การสิทธิมนุษยชนได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี Suga หลังจากที่ได้รู้ว่าหมายกำหนดการของญี่ปุ่นจะเยือนเวียดนามและอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 18-21 ตุลาคม 2020 เพื่อให้ญี่ปุ่นกดดันเวียดนามกรณีที่มีการละเมิดสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออก แม้จะมีการรวมตัวและการเคลื่อนไหวอย่างสันติก็ตาม
ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียก็จำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพสื่อมวลชน จำกัดสิทธิในเพศวิถี อัตลักษณ์ทางเพศ และสิทธิของชนพื้นเมืองดั้งเดิม Phil Robertson รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของ Human Rights Watch แห่งเอเชีย ระบุว่า ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเวียดนามและอินโดนีเซีย ควรจะกดดันทั้งสองประเทศให้หยุดละเมิดสิทธิมนุษยชนได้แล้ว นายกรัฐมนตรี Suga ควรจะแสดงให้เห็นทั้งในรูปแบบเปิดเผยต่อสาธารณชนและในรูปแบบส่วนตัว แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นจริงจังต่อการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ
ประชาชนไม่ว่าใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเวียดนามหรือพรรคคอมมิวนิสต์ จะถูกตำรวจข่มขู่ จำกัดการเคลื่อนไหว ทำร้ายร่างกาย จับกุมโดยพลการ กักกันตัวและคุมขัง ตำรวจกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นประจำทุกวันมานานนับเดือนโดยปราศจากการเข้าถึงทนายผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายและยังสอบสวนแบบคุกคามด้วย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รัฐของเวียดนามยังปิดการเข้าถึงเว็บไซต์ทางการเมืองและเพจในโซเชียลมีเดีย ขณะเดียวกันก็กดดันให้บริษัทโทรคมนาคมทั้งหลายรวมทั้งโซเชียลมีเดียจัดการกับเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือพรรคการเมืองด้วย
ด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอินโดนีเซียภายใต้การนำของรัฐบาลโจโควีนั้น มีทั้งการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนา ความเชื่อ ในปี 2020 มีผู้คนอย่างน้อย 38 คนที่ถูกจับกุมฐานหมิ่นศาสนาและมีคนที่ถูกคุมขังเป็นเวลา 3 ปีเพราะฉีกคัมภีร์กุรอานในมัสยิด
Robertson กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี Suga ควรยึดสิทธิมนุษยชนให้เป็นหลักการขั้นพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวิถีที่ผู้นำคนก่อนหน้าของญี่ปุ่นก็ไม่เคยทำกัน การเยือนต่างประเทศครั้งแรกของ Suga ซึ่งถือเป็นประมุขของรัฐบาลถือเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะช่วงเร่งเร้าให้ผู้นำของทั้งเวียดนามและอินโดนีเซียยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้เป็นประชาชนของพวกเขาเอง
ที่มา – Human Rights Watch
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา