Starbucks เป็นบริษัทล่าสุดที่ออกมาประกาศว่าจะหยุดโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเกือบทุกแพลตฟอร์ม (ยกเว้น Youtube) และสัญญาว่าจะพูดคุยกันในองค์กรเพื่อหยุดการแพร่หลายของ hate speech ทั้งนี้ ทางบริษัทจะยังคงโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียต่างๆ แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
ทาง Starbucks กล่าวว่า “พวกเราจะร่วมมือกันต่อต้าน hate speech เพราะพวกเราเชื่อว่าโลกออนไลน์สามารถทำให้น่าอยู่กว่านี้ได้ และผู้นำทางธุรกิจต่างๆ ควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง”
- ตัวอย่าง จดหมายที่ผู้บริหาร Starbucks ส่งให้กับคู่ค้า เพื่อร่วมกันแสดงจุดยืนต่อต้านประเด็นการเหยียดสีผิว
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ต่างๆ ออกมาให้ความร่วมมือในครั้งนี้ เช่น Coca Cola ที่ประกาศว่าจะหยุดโฆษณาลงบนทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ในขณะที่ Unilever ประกาศว่าจะหยุดโฆษณาบน Facebook, Instagram และ Twitter จนถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ ทาง Starbucks ได้กล่าวเสริมว่าการหยุดโฆษณาลงบนโซเชียลมีเดียในครั้งนี้ไม่รวมถึงแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ซึ่งมี Google เป็นเจ้าของ
Black Lives Matter. We continue to listen to our partners and communities and their desire to stand for justice together. The Starbucks Black Partner Network co-designed t-shirts with this graphic that will soon be sent to 250,000+ store partners. pic.twitter.com/Wexb45RcTE
— Starbucks Coffee (@Starbucks) June 12, 2020
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Starbucks ออกมาประกาศว่าจะหยุดโฆษณา แต่ทางแบรนด์ก็ไม่ได้เข้าร่วมแคมเปญ #StopHateForProfit ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
หลายๆ องค์กรได้ออกมากล่าวว่า Facebook ควรเข้มงวดเรื่องการควบคุม hate speech มากขึ้น เช่น คอยคุ้มครองผู้ที่มีโอกาสตกเป็นเหยื่อในประเด็นเรื่องสีผิวหรือศาสนา รวมถึงทำให้เหล่านักโฆษณาตระหนักว่าโฆษณาของพวกเขามีความใกล้เคียงกับโฆษณาอื่นๆ ที่ถูกลบไปเนื่องจากให้ข้อมูลที่ผิด หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงหรือไม่ โดยจะคืนเงินค่าโฆษณาให้ด้วย
- วิกฤตศรัทธา: หลากธุรกิจเดินหน้าแบน Facebook ผู้บริหารรับกระทบหนัก “สื่อขาดความไว้วางใจ”
- Facebook โดนแบนโฆษณาต่อเนื่อง เพราะไม่จัดการ hate speech ในแพลตฟอร์มจริงจัง
ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา Facebook ได้รับรายได้จากโฆษณาทั่วโลกสูงถึง 69.7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท)
ที่มา : CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา