หลายฝ่ายเชื่อว่าเศรษฐกิจโลก และในไทยปีนี้จะกลับมาสดใสอีกครั้ง จึงไม่แปลกที่ “แสนสิริ” จะมองว่ายอดขายน่าจะกลับมาเติบโต โดยเฉพาะตัวแนวราบที่เป็นทาวน์เฮาส์ และกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับกลาง เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มฟื้น
มุ่งแนวราบเพื่อตอบความต้องการ
หลังจาก “แสนสิริ” รวมถึงผู้พัฒนาอสังหาฯ รายอื่นๆ ต่างหันไปทุ่มกับการทำตลาดที่พักอาศัยแนวดิ่ง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อคอนโดมิเนียม มาระยะหนึ่ง สุดท้ายแล้วด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มเบื่อกับการอยู่ในที่แคบๆ รวมถึงบางคนก็มีครอบครัว ทำให้การเดินทางที่สะดวกสบาย อาจไม่เอื้ออำนวยกับความต้องการทั้งหมด
ทำให้ความต้องการของที่พักอาศัยประเภททาวน์เฮาส์เริ่มกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากมีราคาไม่สูงจนเกินไปเหมือนบ้านเดี่ยว แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่มากกว่าคอนโดมิเนียมชัดเจน แม้ต้องใช้เวลาเดินทางมากขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งผู้บริโภค โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวเริ่มหันมาซื้อที่พักอาศัยประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ เล่าให้ฟังว่า การกลับมาเน้นทาวน์เฮาส์ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการทำตลาดในปีนี้ ผ่านการเปิดตัว 11 โครงการ ราคาระดับกลางตั้งแต่ 1-3 ล้านบาท กระจายอยู่ทั้งในกรุงเทพ และปริมณฑล มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท จากปีก่อนที่เปิดตัวเพียง 2 โครงการเท่านั้น
ครองเบอร์หนึ่งตลาดต่างประเทศ
“ปีนี้เราจะเน้นทาวน์เฮาส์มากขึ้น เพื่อตอบความต้องการของผู้บริโภค แต่ก็ยังไม่ทิ้งโครงการประเภทอื่น เพราะในปีนี้แสนสิริยังเปิดโครงการคอนโดมิเนียมมากที่สุด หรือ 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 33,500 ล้านบาท โดยทั้งหมด 4 โครงการจากจำนวนี้จะเป็นแบรนด์ใหม่ รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 20,100 ล้านบาท”
ขณะเดียวกันยังถือเป็นครั้งแรกที่ “แสนสิริ” เปิดตัวโครงการใหม่ในปีเดียวถึง 31 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 63,200 ล้านบาท มากที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจมา โดยถ้าเฉลี่ยราคาโครงการที่พักอาศัยทั้งหมดของบริษัทจะมีมูลค่าราว 5 ล้านบาท แต่ถ้าเจาะแค่คอนโดมิเนียมอย่างเดียวจะอยู่ที่ราคา 4-5 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทางบริษัทยังเน้นจำหน่ายที่พักอาศัยในราคาระดับกลางเป็นหลัก รวมถึงยังเน้นรักษาตำแหน่งผู้นำการทำตลาดกับลูกค้าต่างชาติ โดยปีนี้คาดว่าจะปิดยอดขายที่ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 40% ผ่านการเปิดตลาดใหม่ในญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และไต้หวัน หลังค่อนข้างเป็นที่รู้จักในจีน และฮ่องกงแล้ว
ภาพรวมอสังหาฯ ฟื้น แต่ต้องปรับตัว
ในทางกลับกันถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว ผ่านการที่กำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลางดีขึ้น แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ก็ยังต้องปรับตัว เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงกระแสนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นเดิม โดย “แสนสิริ” เลือกที่จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ พร้อมกับนำเทคโนโลยีจาก Startup มาประยุกต์ใช้
“ปีนี้แสนสิริยังมีโครงการที่ร่วมทุนกับ BTS และกลุ่ม Tokyu เหมือนปีก่อน แต่เราจะเพิ่มบริการ Resident ของ The Standard ที่อยู่ในโรงแรมหรู กับ Resident ของ Monocle เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ และรักษาภาพลักษณ์ความเป็น Interbrand เอาไว้ได้ดีกว่าเดิม”
สำหรับรายได้ “แสนสิริ” ตั้งเป้าปีนี้ที่ 30,000 ล้านบาท มาจากการขายโครงการ 23,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ ส่วนยอด Presale ปีนี้ตั้งไว้ที่ 45,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจากที่พักอาศัยแนวดิ่ง 65% และที่เหลือเป็นที่พักอาศัยแนวราบ
สรุป
การขยับตัวของ “แสนสิริ” ถือเป็นอีก Movement ที่น่าจับตาของวงการอสังหาริมทรัพย์ หลังก่อนหน้านี้ก็ประกาศให้ความสำคัญกับ Startup ด้วยการจัดตั้ง Siri Ventures ขึ้นมาแล้ว ดังนั้นคงต้องจับตามองผู้เล่นรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมนี้ ว่าจะขยับตัวกันอย่างไร เพราะถ้ามุ่งแค่คอนโดมิเนียมต่อไป ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา