ช่วงนี้ โตโยต้า เป็นข่าวตามหน้าสื่อบ้านเราอยู่เรื่อยๆ ทั้งประเด็นในแง่การปลดพนักงานที่อยู่กันมานาน (พร้อมข่าวลือว่านำหุ่นยนต์มาใช้แทนคน) และประเด็นเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังถูกคุกคามจาก Tesla
Brand Inside เคยนำเสนอข่าว ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2016 ของโตโยต้าประเทศไทย ซึ่งออกมาไม่ค่อยดีนัก มียอดขายลดลงทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะ
ฝั่งของบริษัทแม่ Toyota Motors ที่ประเทศญี่ปุ่นก็เพิ่งแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองของปี 2016 (หรือไตรมาสแรกตามปีงบประมาณ 2017) ออกมา อาการย่ำแย่ไม่แพ้กัน เพราะรายได้รวมลดลง 5.7% และกำไรรวมลดลง 14.5% ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดเป้ารายได้-กำไรตลอดทั้งปี 2016 ลงจากเดิม
ปัญหาหลักที่ทำให้ Toyota Motors บริษัทแม่มีรายได้ลดลง เป็นผลมาจากค่าเงินเยนแข็งด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ยอดขายนอกประเทศญี่ปุ่นตีกลับมาเป็นเงินเยนได้น้อยลง ซึ่งบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นทุกรายล้วนเจอปัญหานี้กันถ้วนหน้า
แต่นั่นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เพราะ Toyota ก็มีปัญหาอื่นๆ อย่างยอดขายรถเองก็ลดลง โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือที่ Toyota เน้นทำตลาดรถยนต์นั่งหรูแบรนด์ Lexus กับรถบรรทุกขนาดเล็ก แต่ลูกค้าอเมริกันกลับหันไปนิยมรถยนต์ SUV และรถกระบะแทนในช่วงหลัง ซึ่งตลาดนี้เป็นของผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐอย่าง Ford, GM และ Chrysler ทางแก้ของ Toyota คือการหันมาออกรถ SUV สู้เช่นกัน
ตลาดจีนก็เป็นอีกตลาดที่โตโยต้าได้รับผลกระทบ เพราะรัฐบาลจีนปรับกฎด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้น ในขณะที่โตโยต้าเทน้ำหนักไปที่รถยนต์แบบไฮบริด ซึ่งไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากนัก และตามแผนของโตโยต้า กว่าที่บริษัทจะปรับตัวมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กชาร์จได้ก็ต้องรอถึงปี 2018
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลคือโตโยต้ายังรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นเอาไว้เยอะ เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างฮอนด้าหรือนิสสัน ซึ่งการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น มีข้อจำกัดทั้งเรื่องต้นทุนการผลิต และราคาส่งออกเมื่อค่าเงินเยนแข็ง (ในทางกลับกัน ถ้าเงินเยนอ่อนก็จะได้ประโยชน์) ซึ่งเรื่องนี้ โตโยต้ายืนยันว่าจะยังรักษาฐานการผลิตในญี่ปุ่นไว้ แต่จะใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายลง
ข้อมูลจาก Toyota, Nikkei, Forbes, Wall Street Journal
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา