หลังจากที่ honestbee นำบริการซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์มาเปิดตัวในไทยได้ 6 เดือนแล้ว วันนี้ได้สานต่อธุรกิจไปทำโลจิสติกส์ขนส่งพัสดุ เน้นโมเดลแบบ B2B จะตอบโจทย์อีคอมเมิร์ซ แต่คำถามคือจะสู้กับคู่แข่งในตลาดที่ทำด้านนี้โดยตรงไหวหรือเปล่า?
ส่งบริการใหม่ GOODSHIP ทำโลจิสติกส์แข่งตลาดอีคอมเมิร์ซ
honestbee เปิดตัวในไทยมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนถึงวันนี้เป็นเวลา 6 เดือนแล้วที่ได้เข้ามาทำตลาด Online Grocery หรือเอาที่เข้าใจง่ายอาจจะเรียกว่า บริการสั่งซื้อและส่งของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบออนไลน์
แต่ก่อนที่จะไปดูว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง เราชวนไปดูบริการใหม่ที่ honestbee ส่งมาหมาดๆ เลยก็คือ GOODSHIP โดยตัวนี้เป็นซับแบรนด์ของ honestbee ที่จะช่วยส่งพัสดุให้กับลูกค้าอีคอมเมิร์ซที่ไม่มีโลจิสติกส์เป็นของตัวเอง
ธีรีสา มัทวพันธุ์ Country Head ของ honestbee ที่ดูแลด้าน GOODSHIP โดยตรง เล่าให้ฟังว่า “ส่วนใหญ่อีคอมเมิร์ซมักจะเน้นไปที่การสร้างเว็บไซต์ที่ดึงดูดลูกค้า และผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่มีอีคอมเมิร์ซน้อยรายนักที่จะมีการขนส่งที่ดี จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เรารู้เลยว่า ถ้าทำอีคอมเมิร์ซ ต่อให้ Retail ดีแค่ไหน เว็บไซต์ดีแค่ไหน แต่ถ้าขนส่งไม่ดีก็คือจบ”
GOODSHIP จึงจะเข้ามาตอบโจทย์ในจุดนี้ โดยจะเน้นไปที่การทำโลจิสติกส์กับธุรกิจบริษัทหรือ B2B เป็นหลัก เป็นเสมือน Third Party ที่จะเข้ามาช่วยเหลืออีคอมเมิร์ซทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบริษัท SME และสตาร์ทอัพที่ยังขาดบริการขนส่งสินค้า
แต่คำถามสำคัญคือ ในตลาดโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้เล่นหน้าอื่นๆ เสียเมื่อไหร่ และที่สำคัญรายอื่นๆ ยังทำโลจิสติกส์ขนส่งโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น KERRY EXPRESS หรือ Lalamove หรือแม้กระทั่ง LINE MAN แต่ honestbee คือธุรกิจที่แตกไลน์มาจากบริการจัดซื้อและส่งสินค้าแบบ Online Grocery
แล้วแบบนี้ จุดเด่นของ GOODSHIP คืออะไร?
GOODSHIP บอกว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อคือ
- การส่งพัสดุในวันเดียวหรือวันถัดไป (Same Day and Next Day) แต่ต้องไม่ลืมว่ารายอื่นในตลาดก็มีข้อเสนอนี้เช่นเดียวกัน
- ความยืดหยุ่นกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะต่อให้มีเรทการ์ดระบุราคาค่าขนส่ง แต่ GOODSHIP เชื่อเรื่องการปรับให้เข้ากับธุรกิจที่เข้ามาจับเป็นพาร์ทเนอร์ พูดให้ง่ายคือ GOODSHIP จะเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าอีคอมเมิร์ซโดยตรง เพื่อสร้างเรทราคาที่ไม่ตายตัวและเหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ
- การเติมเต็มช่องว่างให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ข้อนี้จะมองว่าเป็นจุดแข็งก็ได้ที่ต้องการเน้นเฉพาะ B2B (เพราะถ้าลงเล่นใน C2C ไม่รอดแน่)
ก่อนหน้าการเปิดตัวในวันนี้ GOODSHIP ของ honestbee ได้มีการเปิดตัวให้บริการกับพาร์ทเนอร์ล่วงหน้าไปก่อนคือ Nu Skin, SE-ED Books, aCommerce, Aramex, Siam Outlet, City-Link และ OfficeMate แถมบอกว่าปริมาณการส่งพัสดุแต่ละวันมากกว่าการส่งสินค้าอุปโภคบริโภครวมกันเสียอีก (แต่ไม่ได้บอกตัวเลขชัดเจน) ส่วนเป้าหมายที่วางไว้คือจะต้องมีการรับส่งสินค้าวันละ 50,000 ออร์เดอร์ใน 12 เดือนข้างหน้าให้ได้
และแน่นอน ในขั้นแรกคนขับรถส่งของ GOODSHIP ก็คือคนของ honestbee เพราะต้องการให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ดี พนักงานขับรถทุกคนจะเป็นพนักงาน Full Time และได้รับการอบรมมาอย่างดี ซึ่งตอนนี้มีประมาณหลักร้อยคน (ในส่วน GOODSHIP ยังไม่รับพนักงานส่งของ Part Time เหมือนบริการของ honestbee)
นอกจากดูตัวบริการใหม่ GOODSHIP ที่ส่งมาแล้ว ไปดูตัวธุรกิจหลักของ honestbee กันต่อเลย
6 เดือนที่ผ่านมาธุรกิจของ honestbee เป็นอย่างไรบ้าง?
ที่จริงแล้ว honestbee ก็รู้ตำแหน่งแห่งที่ในตลาดของตัวเองดี ด้วยการวางธุรกิจไว้เป็นบริการซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์พรีเมี่ยม ดูได้จากพาร์ทเนอร์ที่มีอยู่
บุญเท คำมณีวงษ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย honestbee ระบุว่า “เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดแล้ว honestbee เป็นเบอร์ 1 ในตลาด Online Grocery ของไทย” แต่แน่นอนว่าตัวเลขในส่วนนี้ไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เท่าที่รู้คือ
เมื่อคิดมูลค่าสัดส่วนของ Online Grocery ในตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดของไทยนั้นคิดเป็นเพียง 3% ของมูลค่ารวมทั้งสิ้นที่ 2.52 ล้านล้านบาท หรือ 74,000 ล้านเหรียญเท่านั้น
อธิบายให้ง่ายขึ้นคือ Online Grocery ทุกรายในตลาดคิดเป็นสัดส่วนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยที่ 3% เท่านั้น ซึ่ง honestbee ระบุว่าตัวเองเป็นที่ 1 ของตลาด แต่คำว่าที่ 1 ของตลาดหมายความใน Volume เท่านั้น
ความน่าสนใจคือ ถ้าดูจากตำแหน่งแห่งที่ของ honestbee ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะถ้าดูยอดการสั่งซื้อของ honestbee ในแต่ละบิล ด้วยความที่สินค้าส่วนใหญ่เป็นพรีเมี่ยม การไต่ขึ้นสู่ราคาระดับสูงไม่ใช่เรื่องยาก และเมื่อถามต่อว่าผ่านมาแล้ว 6 เดือน ยอดการสั่งซื้อต่อบิลของ honestbee เป็นอย่างไร? honestbee ตอบทันทีว่า “ยังอยู่ในยอดเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก” ซึ่งยอดการสั่งซื้อเดิมต่อบิลก็อยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทนั่นเอง ส่วนเรื่องตัวคนเลือกซื้อสินค้าหรือ Shopper ก็มีการทำงานกันวันละไม่ต่ำกว่า 400 – 500 คน
ส่วนในแง่การเติบโต honestbee ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขตรงๆ แต่ระบุเพียงว่า “โตขึ้น 100% ทุกเดือน” ส่วนมูลค่าของบริษัทเปิดเผยไม่ได้ เพราะบริษัทไม่ได้คิดจะระดมทุนแบบธุรกิจสายสตาร์ทอัพรายอื่นๆ
สรุป
การส่ง GOODSHIP ของ honestbee ถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่จะมาช่วยเรื่องการขนส่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยจะทำในลักษณะ B2B เชื่อมต่อกับธุรกิจต่างๆ ที่เป็นออฟไลน์และออนไลน์ แต่ต้องไม่ลืมว่าคู่แข่งในตลาดก็ไม่น้อย หรืออย่างการที่ GOODSHIP ไปจับมือกับ OfficeMate แต่เมื่อไม่นานมานี้ OfficeMate ก็เพิ่งจับมือกับ KERRY EXPRESS แต่เข้าใจว่าในเชิงธุรกิจแล้ว มีการแยกลำดับชั้นของการส่งอีกที แต่ทีนี้ ถ้าคู่แข่งดีลได้ในสเกลที่ใหญ่กว่า ก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจเหมือนกัน
ส่วนตัว honestbee ที่เป็น Online Grocery แม้จะบอกว่าเป็นเบอร์ 1 ในแง่ Volume ของตลาดไทย แต่ด้วยตำแหน่งแห่งที่ของ honestbee ที่มีความเป็นพรีเมี่ยม การขยายธุรกิจออกไปคงไม่ง่าย เพราะการบริการยังคงจำกัดพื้นที่อยู่เพียงกรุงเทพและปริมณฑล (มีแผนจะขยายบริการออกไปในต่างจังหวัด เพียงแต่ต้องรอเฟสต่อไปของธุรกิจ) อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ honestbee ก็กำลังเดินหน้าไปในขณะที่คู่แข่งโดยตรงอย่าง Happy Fresh ซึ่งเน้นตลาดแมสกว่าก็กำลังขยายกิจการออกไปเช่นเดียวกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา