สหรัฐอเมริกาต้องการเป็นผู้นำ EV
เมื่อสหรัฐอเมริกาเดินหน้าจริงจังเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า เพราะเป็นแผนนโยบายที่ผลักดันอย่างน้อย 2 เรื่องพร้อมกัน นั่นคือเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งโดยตรงอีกครั้งเพื่อตั้งเป้าหมายให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจำนวน 40-50% จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 หรืออีกประมาณไม่ถึง 10 ปีนับจากนี้
ก่อนหน้านี้ นโยบายที่ชัดเจนที่สุดคือคำสั่งโดยตรงจากประธานาธิบดี (executive order) ให้รถยนต์ทุกคันของรัฐบาลต้องเป็น EV ล้วน และต้องผลิตในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
- รัฐบาลไบเดนสั่งเปลี่ยนรถไปรษณีย์ทุกคันให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า
- โจ ไบเดนลุยโรงงานฟอร์ดทดลองขับกระบะไฟฟ้า หวังคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม
แน่นอนว่า แผนผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของไบเดนคือเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการทำตามเป้าหมาย zero-emission หรือนโยบายปลอดมลพิษ ตั้งเป้าปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์
แต่ในขณะเดียวกันนโยบายสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องเดียวกับการผลักดันทางเศรษฐกิจได้ อย่างในกรณีนี้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ รอบนี้ได้เรียกค่ายรถยนต์ไปหลายราย เช่น GM, Ford และ Stellantis (บริษัทใหม่ที่ควบรวมจาก Fiat Chrysler กับ Groupe PSA) อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มีดราม่านิดนึงตรงที่ Elon Musk ออกมาบอกว่า “แปลกใจที่ Tesla ไม่ได้รับเชิญ”
“เราเคยเป็นผู้นำในวงการรถยนต์มาก่อน และเราต้องการเป็นผู้นำอีกครั้ง แต่เราต้องขยับตัวไวกว่านี้ เพราะทั้งโลกเขานำหน้าไปหมดแล้ว คำถามคือสหรัฐอเมริกาอยากเป็นผู้นำหรืออยากเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในศึกแห่งอนาคต” ไบเดน กล่าว
แล้วแผน EV ไทยถึงไหนแล้ว
ไม่ใช่แค่ในต่างประเทศ เมื่อรัฐออกมาผลักดัน ภาคธุรกิจก็พร้อมจะลงไปเล่น ในสหรัฐอเมริกาค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่าง GM ประกาศลงทุนใน EV กว่า 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2025 พร้อมทั้งเลิกขายรถยนต์น้ำมันในปี 2035 ส่วน Ford ก็ประกาศแล้วว่าจะลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมลงทุนเกือบ 1 ล้านล้านบาทเช่นกัน
สำหรับประเทศไทย จริงๆ แล้วเรามีแนวโน้มที่จะผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอยู่เช่นกัน
รู้หรือไม่ว่า เรามีสิ่งที่เรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ” หรือที่คนในวงการเรียกว่า “บอร์ดอีวี”
ข้อมูลช่วงต้นปี 2021 มีการประชุมและมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคมร่วมกันส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยจะเน้นหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือด้านการผลิต (รวมทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ) จะผลิตให้ได้ทั้งประเทศมากกว่า 1 ล้านคันในปี 2025 แบ่งเป็น
- รถยนต์/รถปิกอัพ 400,000 คัน
- รถจักรยานยนต์ 620,000 คัน
- รถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน
ที่สำคัญคือในปี 2030 หรือประมาณไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้ ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 50% ของตลาด
หลังจากนั้นในอีก 5 ปีให้หลัง (2035) ไทยจะเพิ่มการผลิตขึ้นเป็นจำนวนรวมกว่า 18 ล้านคัน แบ่งเป็น
- รถยนต์/รถปิกอัพ 8,625,000 คัน
- รถจักรยานยนต์ 9,330,000 คัน
- รถบัส/รถบรรทุก 458,000 คัน
สำหรับไทยแม้ว่าจะมีนโยบาย มีตัวเลข มีการคาดการณ์ แต่ต้องยอมรับว่าแผนที่ชัดเจนเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างได้ไม่นาน และคงต้องรอดูผลงานกันในอนาคต
แต่ภาพที่ทุกคนควรรู้ เพราะเป็นความจริงในปัจจุบัน ตอนนี้สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยปี 2020 รวบรวมโดย International Energy Agency เปิดเผยว่า สัดส่วนยอดขาย EV ในไทยยังคิดเป็นเพียง 1% เท่านั้น ในขณะที่ค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 4.6%
เพราะฉะนั้นเป้าหมายของไทย ทั้งยอดขาย ทั้งเป้าหมายด้านการผลิตระดับล้านคัน และอีกหลายสิบล้านคันในช่วงอีกกว่าทศวรรษข้างหน้า ถือเป็นความท้าทายที่ต้องจับตาดูกันต่อไป
- นักวิเคราะห์คาด ปี 2030 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอาจสูงถึง 34% จากภาพรวมยอดขายรถยนต์ทั้งหมด
- ตลาดรถยนต์ไทย 2021: คาดยอดปีนี้ไม่ดีขึ้น ปัญหาโควิด-กำลังซื้อหดตัว เก๋งกระทบมากกว่ากระบะ
ไม่ใช่แค่ไทย เป้าหมายของสหรัฐก็ท้าทาย
พูดกันให้ถึงที่สุด แผนผลักดัน EV ของสหรัฐอเมริกาภายใต้ไบเดนไม่ใช่เรื่องใหม่
ในยุคสมัยที่โอบามาเป็นประธานาธิบดี ยุคนั้น (2012-2015) ก็เคยตั้งเป้าให้สหรัฐอเมริกามียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันในช่วงปี ปรากฎว่า 1 ปีให้หลัง (2016) สำนักข่าว Reuters ไปเช็คตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกา มีเพียงแค่ 4 แสนคันเท่านั้น พลาดเป้าไปมากกว่าครึ่ง
และอันที่จริง ถ้าเปิดดูตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาปี 2020 มีส่วนแบ่งตลาด (market share) เพียง 2% เท่านั้น ดังนั้นเป้าหมายยอดขาย 40-50% ของไบเดนจึงเป็นความท้าทายอย่างมาก
อ้างอิง – CNBC, The Guardian, Quartz, Pew Research, กระทรวงพลังงาน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา