ราคากาแฟในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังปรับตัวสูงขึ้น ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพราะประเทศผู้ผลิตหลักอย่างบราซิลและโคลอมเบียกำลังเผชิญปัญหาหลายอย่าง
ราคากาแฟในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังปรับตัวสูงขึ้น แพงที่สุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ราคาเมล็ดกาแฟดิบพุ่งไปแต่ระดับ 1.7 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 1.5 ดอลลาร์/ปอนด์
ในปีที่ผ่านมา ราคาเมล็ดกาแฟดิบอยู่ที่ 1.13 ดอลลาร์/ปอนด์ เท่านั้น เรียกได้ว่าในช่วงที่ราคากาแฟปรับตัวขึ้นไปสูงที่สุด กาแฟแพงขึ้นถึงเกือบ 70% เลยทีเดียว จากข้อมูลของ Macro Trends บริษัทวิจัยด้านการลงทุน
ประเทศผู้ผลิตหลักกำลังเผชิญปัญหา
สาเหตุที่ราคาเมล็ดกาแฟพุ่งสูงก็คือประเทศผู้ผลิตหลักอย่างบราซิลและโคลอมเบียกำลังเผชิญปัญหาหลายอย่าง เช่น
- ภัยแล้งที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในบราซิลและโคลอมเบีย
- การประท้วงรัฐบาลในโคลอมเบีย
- ปัญหาด้านการขนส่งทางเรือ
ปัจจัยที่อาจหนุนเสริมให้ราคาเมล็ดกาแฟแพงขึ้นไปอีกคือการที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Starbucks ไปจนถึง Dunkin กำลังขาดแคลนพนักงาน (จริงๆ แล้วเรื่องนี้กระทบไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม) ทำให้กระบวนการผลิตทั้งสายพานประสบปัญหาเข้าไปอีก
อีกไม่นาน ผู้บริโภคอาจเจอผลกระทบ
โดยทั่วไปในการซื้อเมล็ดกาแฟ ผู้ซื้อจะต้องเซ็นสัญญาซื้อล่วงหน้ากับผู้ผลิตเป็นระยะเวลา 3-6 เดือน ณ ระดับราคาหนึ่งๆ นั่นหมายความว่าในตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น แต่เมื่อสัญญาหมดลง ผู้ซื้อจะต้องเซ็นสัญญาฉบับใหม่ในราคาที่สูงขึ้น เมื่อนั้นผู้บริโภคก็จะเริ่มได้รับผลกระทบ
แน่นอนว่าเรื่องนี้กระทบตั้งแต่แบรนด์ดังอย่าง Starbuck ร้านค้าปลีก โรงคั่วรายย่อย ไปจนถึงผู้บริโภคทั่วไป
จริงๆ แล้วกาแฟไม่ได้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเดียวที่กำลังขาดแคลน สินค้าสำหรับสตรี เนื้อไก่ รถยนต์ ชิปเซ็ต ไม้ และอื่นๆ ก็ถูกกระทบโดยโควิด-19 ทำให้การผลิตรวมถึงระบบโลจิสติกส์ล่าช้า ปัญหาราคากาแฟคือภาพย่อยของปัญหาการผลิตทางอุตสาหกรรมของโลก
ที่มา – FT, Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา