โดยปกติที่เราอ่านข่าวโรบอตหรือข่าวหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยคนทำงานนั้น มักจะมีนัยยะที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าจะนำไปสู่การลดคนทำงาน เกิดการแย่งงานระหว่างคนกับโรบอต แต่ครั้งนี้ World Economic Forum หรือ WEF หรือสภาเศรษฐกิจโลกคาดการณ์ว่ามันจะสามารถสร้างงานให้คนได้มากถึง 58 ล้านคน
WEF ระบุว่าราว 2 ใน 3 ของงานที่เปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติจะกลายเป็นงานที่ใช้ทักษะสูงขึ้น ส่วนที่เหลือจะเป็นแรงงานที่ใช้ทักษะน้อยลง ความกลัวที่ว่าเครื่องจักรจะมาแทนคน แต่เอาเข้าจริงแล้วระบบอัตโนมัติเหล่านี้ต่างหากที่จะมาทำให้มนุษย์ทำงานที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าระบบอัตโนมัติเหล่านี้จะสามารถสร้างงานได้อย่างมหาศาลราว 58 ล้านตำแหน่ง ARK Investment คาดว่าระบบอัตโนมติจะเพิ่มขึ้น 5% หรือราว 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 36 ล้านล้านบาทและจะส่งผลให้จีดีพีสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในห้าปีข้างหน้า ซึ่งถ้าย้อนดูการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ทศวรรษ 1900 ก็จะพบว่า มีการใช้เครื่องจักรในการเกษตรและผลักให้คนเข้าสู่การทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมมากขึ้น
ปัจจุบันก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในแวดวงการงานมากขึ้นแล้ว เช่น งานบัญชี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลดพนักงานบัญชีออก ในปี 1979 มีตำแหน่งงานด้านบัญชี งานตรวจสอบบัญชีในสหรัฐฯ มีอยู่ราว 2.9 แสนตำแหน่ง จากนั้นก็มีการออกซอฟต์แวร์ด้านการเงินในปี 1983 และ Microsoft Excel ก็ปล่อยให้ใช้เวอร์ชั่นแรกได้ในปี 1985 จากนั้นซอฟต์แวร์ก็ได้รับการพัฒนาเร็วขึ้น
คนที่อยู่ในตำแหน่งนักบัญชีในสหรัฐฯ ก็ถูกจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 5.24 แสน และเพิ่มเป็น 75% ภายใน 10 ปี และยังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันอยู่ที่ 1.28 ล้านตำแหน่ง มีการคาดการณ์ว่าปี 2029 จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 4% ต่อปี
นอกจากนี้ ถ้าดูเทียบจากการติดตั้งตู้ ATM ก็อาจทำให้คนมองว่าไม่จำเป็นต้องมีพนักงานรับฝากเงินอีกต่อไป เมื่อมีตู้ ATM แล้ว แต่ก็พบว่า ในปี 1970 นั้น ในสหรัฐฯ มีพนักงานรับฝากงานมากถึง 2.5 แสนคน จากสถิติพบว่ามีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและพวกเขาก็ได้ทำงานที่ใช้ทักษะสูงขึ้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าเรายังไม่รู้สภาพการทำงานในอนาคตที่แน่นอนว่างานหรืออาชีพจะออกแบบมาในรูปแบบใดชัดเจน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นด้วย
ที่มา – WEF
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา