เลิกได้เลิก พฤติกรรม Work From Home แล้วต้องประชุมออนไลน์ทั้งวัน
หนึ่งในการทดลองครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติในยุคแห่งโรคระบาดคือ Work From Home
ในเมื่อเข้าออฟฟิศไม่ได้ ก็ทำงานจากที่บ้าน หลายงานทำได้อย่างง่ายดาย หลายงานต้องปรับตัวกันยกใหญ่ และหลายงานก็มีความจำเป็นต้อง on-site เป็นคนทำงานด่านหน้าเพราะ online ไม่ได้
สำหรับคนที่ Work From Home แน่นอนว่า “การประชุม” เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน แม้ว่าในยุคปกติจะมีการนัดประชุมอยู่แล้ว แต่การทำงานจากบ้านสร้างปัญหาใหม่ของการประชุม
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
- การประชุมที่ล้นเกิน เยอะเกิน ประชุมทั้งวันก็ไม่หมด
- การประชุมที่ไร้เยิ่นเย้อ เวิ่นเว้อ จับประเด็นไม่ได้
- การประชุมที่นานเกินไป ประชุมมาราธอน เหมือนไม่มีวันจบ
จริงๆ แล้ว การประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพไม่ควรค่าแม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในแต่ละวันด้วยซ้ำ เพราะจะทำให้พนักงานไม่มีสมาธิจดจ่อกับการทำงาน โดนลากเข้าประชุมทั้งวัน
ในทางวิชาการ ประชุมออนไลน์สร้างปัญหาใหม่ที่เรียกกันว่าปรากฎการณ์ “Video Call Fatigue” หรือ “Zoom Fatigue” หมายถึง ความเหนื่อยล้าจากการวิดีโอคอลประชุม
นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องการประชุมออนไลน์ผ่านการวิดีโอคอล บอกว่า ผู้คนต้องใช้สมาธิจดจ่อสูงกว่าปกติ เพราะต้องนั่งฟังการสนทนาผ่านเสียง และต้องตีความหมายจากสีหน้า ท่าทาง และภาษากายผ่านจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริงหลายเท่า
ที่สำคัญ ความรู้สึกของการถูกจับจ้อง จากการปรากฏตัวในวิดีโอทำให้ร่างกายทำการแสดงโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่รู้ว่ามีใครจับจ้องเราอยู่หรือเปล่า ดังนั้น นอกจากเราจะต้องใช้สมาธิสูงแล้ว ยังต้อง ‘เกร็ง’ มากกว่าเดิมเพื่อให้ภาพออกมาดูดีในสายตาของคนอื่น
ชัดเจนว่า การประชุมออนไลน์เหนื่อยมากกว่าการประชุมแบบตัวเป็นๆ และคนในวงการทำงานเข้าใจเรื่องนี้ดี หลายบริษัทออกกฎใหม่ จำกัดเวลาในการประชุม ไม่ต้องการให้พนักงานเหนื่อยเกินไป หลายบริษัทออกนโยบายห้ามประชุมออนไลน์ทุกวันศุกร์ แก้ปัญหาประชุมมากเกินไป
Work From Home ไม่ได้หมายความว่า ต้องประชุมทั้งวัน
Work From Home ไม่ได้หมายความว่า ต้องทำงานเกินเวลาทุกวัน
Work From Home ไม่ได้หมายความว่า แจกคอมพิวเตอร์ไปคนละเครื่อง แล้วต้องพร้อมประชุมตลอดเวลา
Work From Home หมายถึง ความยืดหยุ่นในการทำงานยุคใหม่ ได้ทั้งหลีกหนีโรคระบาด และแรงงานบางส่วนยังคงทำงานที่บ้านต่อไปได้
Work From Home หมายถึง รูปแบบการทำงานใหม่ที่มนุษยชาติกำลังทดลองครั้งใหญ่, และใช่ มันประสบความสำเร็จในการสร้าง productivity
รายงานของ Bloomberg เปิดเผยงานวิจัยของ สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (National Bureau of Economic Research) พบว่า แรงงานอเมริกันมี Productivity สูงขึ้น 5% จากการทำงานแบบ Work From Home
แต่คำถามคือ เราจะมี productivity ที่สูงตลอดเวลา แต่ในด้าน Mentality หรือความคิดจิตใจกลับสวนทาง คนในยุคนี้ไม่ได้มีแค่อาการ Burnout หรือ Depression แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “Languishing” หรือภาวะเนือยๆ ที่แบกรับอะไรหนักๆ มาเป็นเวลานาน ว่างเปล่า ไม่อยากทำอะไร ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว
Is that worth it? มันคุ้มแล้วใช่ไหม…
เอาเข้าจริง Future of Work ออกแบบได้ และการประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในโลกยุคใหม่
สรุป
เราอยู่ในโลกยุคที่หลายอย่างเกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างอัศจรรย์ใจ หลายๆ งานในโลกยุคใหม่เป็น Knowledge Economy ที่มนุษย์ไม่ต้องแบกสังขารเข้าออฟฟิศหรือสำนักงาน ผลงานก็เกิดขึ้นได้ เพราะการทำงานจากบ้านหรือที่ไหนก็ได้ในโลก
แต่ถึงที่สุดแล้ว “Work From Home ต้องมีจุดสมดุล” เพราะไม่เช่นนั้นจะเหมือนว่าเรากำลังแก้ปัญหาเดิม แต่เพิ่มปัญหาใหม่ เสมือนการก้าวไปข้างหน้า 1 ครั้งในด้านเทคโนโลยี แต่ก้าวถอยหลังหลายทีในแง่ความเป็นมนุษย์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา