Richard Branson เจ้าพ่อแห่ง Virgin Group และมหาเศรษฐีเขียนบล็อกโดยจั่วหัวบทความว่า “วิธีที่เราทำงานกันอยู่ในปัจจุบันกำลังจะเปลี่ยนไปทั้งหมด”
- ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “โลกแห่งการทำงาน” เปลี่ยนไปอย่างมากคือการเข้ามีบทบาทของเทคโนโลยี
- การทำงานแบบเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็นกำลังจะหายไป คำถามคือ แล้วอะไรจะมาแทน?
โลกการทำงานแบบใหม่ ไม่จำเป็นต้องเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น
Branson ฟันธงว่า โลกการทำงานในอนาคตจะไม่ใช่เข้างาน 9 โมงเช้า แล้วเลิก 5 โมงเย็นอย่างที่ทำๆ กันมาอย่างแน่นอน เพราะวิธีคิดของโลกการทำงานแบบนี้คือโลกเก่า ไม่ตอบโจทย์โลกการทำงานในอนาคตที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก
ที่จริงแล้วเป็นที่รู้กันดีว่า เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงาน ความต้องการแรงงาน “คน” ในตลาดจะลดลง เพราะทักษะพื้นฐานหลายอย่าง หุ่นยนต์สามารถทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ เช่น งานจัดการสิ่งของในโกดังสินค้า ชัดเจนว่าโลกของเรากำลังเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนร่วมไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นเรื่องไลฟ์สไตล์หรือวิธีการใช้ชีวิต เป็นต้นว่า รถยนต์ไร้คนขับ โดรนส่งของ หรือแม้กระทั่งเครื่องบินไร้คนขับ สิ่งเหล่านี้เป็นจริงแล้วและกำลังจะถูกใช้ในวงกว้างไม่ช้า แน่นอนว่ามันจะ disrupt การทำงานแบบเก่าที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก
โจทย์ใหญ่ของธุรกิจในโลกอนาคตจึงเป็นการผสมผสานการใช้ชีวิตของพนักงานให้เข้ากับการทำงาน
- พูดง่ายๆ ก็คือ ยุคก่อนหน้านี้เราอาจพูดถึงการ Work-Life Balance หรือหาสมดุลของการใช้ชีวิตและการทำงาน แต่ยุคถัดจากนี้ไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ “Work-Life Integration” หรือการผสมผสานชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกัน นี่เป็นแนวคิดใหม่ที่เริ่มมีการปรับใช้ในการทำงานมากขึ้น
Branson บอกว่า โลกการทำงานในอนาคตโดยทั่วไป ไม่ใช่แค่ผู้คนจะไม่ต้องทำงาน 8 ชั่วโมง (9 โมงเช้า – 5 โมงเย็น) แต่ผู้คนอาจจะทำงานเพียงแค่ 3-4 วันเท่านั้น และที่สำคัญคือทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ
แต่ประเด็นสำคัญคือ การจะไปถึงจุดนั้นได้จำเป็นต้องอาศัยพลังของภาครัฐและภาคธุรกิจที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เพราะหากทั้งภาครัฐและเอกชนฉลาดเพียงพอ เขาจะแปรเปลี่ยนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้สอดรับกับการทำงานของแรงงานคน และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ได้อีกมาก
Branson เสนอความคิดอันหนึ่งว่า ภาครัฐควรจะมีการจัดอบรม “ทักษะการทำงานสำหรับโลกอนาคต” ให้กับประชาชนแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยอาจจะแลกกับการทำงานทางสังคมเป็นการตอบแทนก็ได้
- นี่คือการเตรียมความพร้อมให้กับผู้คนสำหรับโลกแห่งการทำงานในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แม้โลกยุคต่อไป คนจะทำงานน้อยลง แต่ค่าจ้างต้องได้เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะคนจะใช้เวลาว่างที่ได้เพิ่มขึ้นจากการทำงานที่น้อยลงไปกับการสร้างความสัมพันธ์กับคนรัก หรืออาจเอาไปท่องเที่ยวตามหาความฝันพร้อมๆ กับยังทำงานได้โดยที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ นอกจากนั้นเวลาที่เพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้มีทางเลือกที่มากขึ้นในการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดีขึ้นด้วย
Branson บอกด้วยว่า การให้พนักงานได้มีทางเลือกในการทำงานที่หลากหลายและยืดหยุ่นจะส่งผลดีต่องานที่ทำ เพราะทางเลือกและเวลาว่างที่บริษัทมอบให้จะส่งผลบวกต่อการตัดสินใจในการทำงานที่ดีขึ้น “หากคุณปฏิบัติต่อพนักงานเสมือนว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาจะทำงานกลับมาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล”
การให้ทางเลือก เวลา และอิสระในการทำงานที่มากขึ้น จะทำให้บริษัทสามารถดึงดูดพนักงานเก่งๆ มีความสามารถ เพราะสิ่งที่สำคัญแล้ว “หากคุณฉลาดมากพอ คุณไม่เสียเวลามากในการทำงานก็ได้” Branson ทิ้งท้าย
ชวนบทความนี้จบแล้ว ชวนอ่าน วัฒนธรรมการทำงานแบบ Netflix: ใครเก่งมากๆ ตบรางวัลอย่างงาม ใครเก่งกลางๆ จ้างออก เพราะ 2 คุณค่าสำคัญที่ Netflix บอกว่าทำให้เขากลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่คือการให้ “เสรีภาพ” กับพนักงาน และสิ่งที่เขาได้ตอบแทนมาคือ “ความรับผิดชอบ” และผลงานที่สุดยอด
[บทความอ่านเพิ่มเติม]
- Work From Home: เปิด 5 เหตุผลจากงานวิจัย ทำไม “ทำงานที่บ้าน” ถึงให้ผลที่ดีกว่าการเข้าออฟฟิศ
- เมื่อออฟฟิศไม่ใช่คำตอบของโลกการทำงาน ผลวิจัยบอกทำที่บ้านได้ผลดีกว่า
ข้อมูล – Virgin, FoxBusiness
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา