ขนาด Volkswagen ที่ว่าแน่ ยังต้องสร้างธุรกิจใหม่มาตอบโจทย์คนไม่อยากมีรถเป็นของตนเอง

จากกระแสแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนส่งมวลชน และรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเองที่กระจายออกเป็นวงกว้าง ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมต่างต้องหากลยุทธ์ใหม่มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะแค่จะจำหน่ายรถยนต์อย่างเดียวก็คงอยู่ไม่ได้ ผ่านปัจจัยเรื่องผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ส่วนตัว ก็สามารถเดินทางไปไหนได้สบายๆ

ภาพ pixabay.com
ภาพ pixabay.com

Volkswagen กับการลงทุนในธุรกิจใหม่

เว็บไซต์ Reuters รายงานว่า ต้นสัปดาห์นี้ Volkswagen (โฟล์กสวาเกน) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจรถยนต์ระดับโลก ประกาศเพิ่มแผนก New Digital Business หรือธุรกิจใหม่ที่นำดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อเข้ามารุกตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่เลือกจะไม่มีรถยนต์ส่วนตัว และเดินทางโดยแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนส่งมวลชน เช่น Uber (อูเบอร์) ซึ่งระยะแรก Volkswagen จะเข้าไปให้บริการรถรับส่งภายในปี 2560 ภายใต้ชื่อบริการ MOIA และก่อนหน้านี้ยักษ์รถยนต์จากเยอรมันยังลงทุนใน Gett แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนส่งมวลชนสัญญาติอิสราเอล

โอเล่ ฮาร์มส์ หัวหน้าแผนก New Digital Business ของ Volkswagen ย้ำว่า MOIA คือแผนสำคัญในการสร้างสินค้า และบริหารเข้าไปตอบโจทย์กลุ่มคนเมือง เพราะ Volkswagen ค่อนข้างช้ากว่าคู่แข่งในเรื่องการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นทางแบรนด์จึงมีการลงทุนหลายพันล้านยูโร เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง รวมถึงบริการ Ride Hailing หรือการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อขนส่งมวลชน และรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนไปเป็นเดินทางด้วยระบบขนส่งอื่นๆ

ภาพ pixabay.com
ภาพ pixabay.com

ค่ายอื่นก็เดินหน้าเต็มสูบ

จากผลวิจัยของบริษัทที่ปรึกษา A.T. Kearney รายงานว่า ในปี 2573 มูลค่าตลาดของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตนเองจะสูงถึง 2.8 แสนล้านดอลลาส์สหรัฐ จากปี 2563 ที่น่าจะอยู่ราว 51,000 ล้านดอลลาส์ และจากมูลค่านี้เอง ทำให้ค่ายรถยนต์แบรนด์อื่น ต่างเข้ามาลงทุนในเทคโนโลยีนี้จำนวนมาก เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต เช่น BMW เตรียมตัวทดสอบรถยนต์ไร้คนขับ เพื่อเข้าไปตอบโจทย์บริการขนส่งโดยรถยนต์ส่วนบุคคล

ขณะเดียวกัน Volkswagen เคยเข้าไปคุยกับ Uber ยักษ์ใหญ่ของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนส่งมวลชน เพื่อทำอะไรร่วมกัน แต่ด้วยความไม่พร้อมของฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ สุดท้ายจึงยังไม่มีอะไรคืบหน้า ที่สำคัญ Volkswagen ยังต้องการเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีขนส่งมวลชนในยุโรปภายใน 2 ปีหลังจากนี้ โดยเตรียมเพิ่มพนักงานกว่า 200 คน เพื่อเข้าไปพัฒนาแผนก New Digital Business พร้อมตั้งเป้าขยายบริการนี้ไปสู่ทั่วโลกด้วย

สรุป

การเข้ามาของรถยนต์ไร้คนขับอาจมาเร็วกว่าหลายฝ่ายคาดไว้แน่นอน เพราะตอนนี้ค่ายรถทั้งฝั่งญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ต่างเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้ออกมาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ และยิ่งมาผนวกกับบริการอย่าง Uber หรือ Grab ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะน่าจะมีส่วนช่วยให้การจราจรบนท้องถนนดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ

อ้างอิง // VW’s new division takes aim at Uber-style competition

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา