รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลั่นเตือนหลายชาติให้ระวังเม็ดเงินลงทุนจากจีน เนื่องจากข้อเสนอของจีนมักมีเงื่อนไขที่ทำให้ชาตินั้นๆ สูญเสียอำนาจ พร้อมทั้งบอกว่าอยากให้มองสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่าง เพราะเวลาไปลงทุน จะเอาประโยชน์ของชาตินั้นๆ เป็นที่ตั้ง
สหรัฐฯ เตือนอย่ารับเงินลงทุนจากจีน จนสูญเสียอำนาจอธิปไตย
ในงานประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกที่ผ่านมา
ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวเตือนชาติต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก ให้ระวังถึงผลที่ตามมาของโครงการสุดยิ่งใหญ่ของจีน One Belt One Road โดยเฉพาะเรื่องการรับเงินลงทุนจากจีนเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และทำให้ประเทศนั้นๆ ต้องตกเป็นลูกหนี้ของจีน
“ผมขอพูดด้วยความเคารพต่อทุกชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และรวมถึงอีกหลายประเทศในโลก: อย่าเป็นหนี้ต่างชาติ เพราะมันอาจทำลายเอกราชของประเทศคุณ โปรดรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง รักษาความเป็นอิสระของประเทศ”
เพนซ์ ระบุว่า จีนใช้วิธีให้ประเทศต่างๆ กู้เงินของตนเพื่อนำมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆ จนกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ สุดท้ายแล้วเป็นความพยายามในการแผ่ขยายอิทธิพลในระดับโลก
เพนซ์ จึงเสนอว่า อยากให้ชาติต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก มองประเทศสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรในด้านการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเป็นตัวอย่าง เนื่องจากสิ่งที่ “อเมริกาทำมาโดยเสมอ คือเอาผลประโยชน์ของประเทศคุณเป็นที่ตั้ง”
สิ่งที่เพนซ์พูดในครั้งนี้ เป็นการเมืองระหว่างประเทศ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาก็กำลังลงทุนครั้งใหญ่ในอินโดแปซิฟิก ดังนั้นโครงการ One Belt One Road ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่และพาดผ่านกว่า 60 ประเทศทั่วโลก จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกถึง 1 ใน 3 จึงกระทบต่ออำนาจของสหรัฐอเมริกาโดยตรง
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลทรัมป์ เพนซ์บอกว่า ยังมีความต้องการที่จะสานสัมพันธ์อันดักับจีน หากแต่สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้จีนเคารพประเทศเพื่อนบ้าน ทำการค้าให้เสรี-ยุติธรรม รวมถึงส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ
ผู้นำสิงคโปร์บอก ชาติอาเซียนอาจต้องเลือกระหว่าง “อเมริกา” หรือ ”จีน”
- ความขัดแย้งในทางเศรษฐกิจของชาติใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีน อาจทำให้ชาติเล็กๆ ในอาเซียนได้รับผลกระทบ จนสุดท้ายจำเป็นต้องเลือกข้าง เพราะหากไม่เลือก อาจจะตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้ชาติต่างๆ ในอาเซียนต้องเลือกข้าง แต่ผมหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้”
[อ่านเพิ่มเติม]
ที่มา – South China Morning Post, Bloomberg
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา