จักรยานไฟฟ้ากลายเป็นของเท่ ฮิปสเตอร์ สัญลักษณ์สำหรับคนเมืองที่ร้านพิซซ่ายังต้องซื้อมาเดลิเวอรี่เอง

E-bike หรือจักรยานไฟฟ้ากลายเป็นของเท่ ฮิปสเตอร์ กลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับคนเมืองไปแล้ว ล่าสุดร้านพิซซ่า FINI ยังจับเอาจักรยานไฟฟ้าแบรนด์ Vela มาใช้เดลิเวอรี่พิซซ่าให้ลูกค้าเอง

Vela e-bike

Sean Feeney เพิ่งจะเปิดร้านพิซซ่า Fini เมื่อเดือนที่ผ่านมา แต่แทนที่เขาจะมองหาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่เจ้าใหญ่อย่าง DoorDash หรือ UberEasts เขากลับเลือกซื้อจักรยานไฟฟ้า หรือ e-bike มาให้พนักงานใช้เพื่อส่งสินค้าเอง

Vela จักรยานไฟฟ้าสัญชาติบราซิล

สำหรับ e-bike แบรนด์ Vela นี้ไม่ใช่แบรนด์น้องใหม่ แต่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว นอกจากจะเป็นจักรยานไฟฟ้าแล้วยังมีรูปทรงคลาสสิคแบบที่เห็นแล้วก็นึกถึงจักรยานในอดีต ซึ่ง Victor Hugo Cruz ที่เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์จักรยานแบรนด์ Vela

เขาก็ได้แรงบันดาลใจในการสร้างออกแบบจักรยานสไตล์คลาสสิค ขณะเดียวกันก็ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ จนกลายเป็น e-bike แบรนด์ Vela ได้นั่นเอง รถจักรยานไฟฟ้าแบรนด์นี้มีทั้งแบตเตอรี่ที่สามารถถอดออกได้ซ่อนไว้ภายใต้โครงจักรยาน มีเบาะหนัง มี GPS เพื่อสำรวจเส้นทาง มีบลูทูธ สามารถใส่ซิม 4G ได้ และยังมีช่อง USB สำหรับชาร์จพลังงานด้วย

สำหรับจักรยาน Vela นั้นมีทั้งแบบ Low-Step คือล้อขนาด 26 นิ้ว เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความสูงตั้งแต่ 150 เซ็นติเมตรถึง 180 เซ็นติเมตร ส่วนแบบ High-Step คือรถที่มีล้อขนาด 29 นิ้ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีส่วนสูงตั้งแต่ 173 เซ็นติเมตรถึง 198 เซ็นติเมตร รับประกัน 3 ปีมีราคาตั้งแต่ 1,799 เหรียญสหรัฐหรือประมาณกว่า 65,000 บาทขึ้นไป

สำหรับราคาจักรยาน e-bike นั้นในตลาดอเมริกามีสนนราคาตั้งแต่ 1,500-4,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 54,000 บาทถึง 1.4 แสนบาท

ด้าน Feeney เจ้าของร้านพิซซ่าเปิดเผยว่า การใช้จักรยานไฟฟ้านั้นค่อนข้างสะดวกมากสำหรับร้านอาหารสองแห่งของเขา ทั้งร้าน Lilia และร้าน Misi ขณะที่ Tanguy Goretti ผู้ก่อตั้งและ CTO บริษัท Cowboy บริษัทผู้ผลิตและออกแบบจักรยานไฟฟ้าให้ความเห็นเกี่ยวกับจักรยานไฟฟ้าว่า สนนราคามันอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 72,000 บาทถึง 1 แสนบาท

E-bike จักรยานหรู ปั่นง่าย ขี่สบาย ใครๆ ก็หันมาขี่กัน

Goretti ระบุว่า ปี 2015 ลูกค้าในยุโรปซื้อ e-bike มากขึ้น กว่า 50% ลูกค้าที่ซื้อมีอายุราว 50 ปี แต่ตอนนี้บรรยากาศมันเปลี่ยนมาราว 5 ปีแล้ว ตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อ e-bike มีอายุประมาณ 25-40 ปีและมักอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ จากเดิมที่ปารีสเคยเป็นตลาดที่เล็กมากๆ สำหรับ Cowboy

แต่หลังจากที่เทศมนตรี Hidalgo ออกแคมเปญสนับสนุนให้เมืองปารีสกลายเป็นเมืองที่ขี่จักรยานทั้งเมืองภายในปี 2026 ด้วยการทุ่มทุนราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาทนั้น ใช้เวลาแค่เพียง 2 ปี ปารีสก็กลายเป็นเมืองที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับจักรยานไฟฟ้าแบรนด์ Cowboy

ด้านสมาคม Light Electric Vehicle ประเมินว่า ปี 2021 สหรัฐอเมริกานำเข้าจักรยานไฟฟ้ามากถึง 790,000 คัน ถือว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจากที่ก่อนหน้านั้นในปี 2019 นำเข้าราว 250,000 คัน ตลาดรถจักรยานสำหรับสหรัฐฯ นั้นถือว่าเล็กกว่าเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์รวมกันอีกแต่ปัจจุบันก็ขยายตัวเร็วมาก

จักรยานแบรนด์ Vela, Cowboy และ VanMoof นั้นถือว่าผลิตมาเพื่อตอบโจทย์ตลาดระดับไฮเอนด์ เป็นจักรยานไฟฟ้าราคาสูง แต่ก็มีระดับกลางๆ ที่น่าสนใจ เช่น แบรนด์จากซีแอทเทิล Rad Power ราคาเริ่มต้นราว 900 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 32,751 บาท

 

Vela e-bike

โควิดคือปัจจัยเร่งให้ตลาด e-bike ดึงดูดผู้คนมากขึ้น

Justin Kosmides ผู้ร่วมก่อตั้งจักรยานแบรนด์ Vela ระบุว่า แบรนด์นี้ผลิตมาตามหลังยุโรปราว 6-7 ปี แต่ก็ดึงดูดให้ผู้คนอยากมีประสบการณ์รในการใช้จักรยานพรีเมียมระดับนี้เพื่อเดินทางทุกวันมากกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่น แบรนด์ Vela มาจากบราซิล ส่วนแบนรด์ Cowboy มาจากเบลเยียม เริ่มขาย e-bike ให้สหรัฐอเมริกาในปีนี้ ผู้คนหันมาสนใจและซื้อจักรยานไฟฟ้าใช้มากกว่าจะซื้อรถยนต์คันที่สอง

ไม่ใช่แค่ปารีสเท่านั้นที่หันมากระตุ้นให้คนหันมาใช้จักรยานกัน แต่แคลิฟอร์เนียก็กระตุ้นให้คนหันมาใช้จักรยานไฟฟ้าด้วยเงินสนับสนุนถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 363 ล้านบาท ด้านประธานาธิบดีไบเดนเองก็สนับสนุนให้คนขี่จักรยาน ด้วยค่าลดหย่อนภาษีสูงถึง 900 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 32,000 บาทสำหรับคนที่ซื้อ e-bike

ที่มา – Quartz, VelaBikes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา