เงินช่วยคนว่างงานช่วงโควิดระบาดดีเกินไป กระทบธุรกิจรายเล็กในสหรัฐฯ ขาดแคลนคนทำงาน

เงินสวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานในช่วงโควิด-19 ระบาดดีเกินไปก็เป็นปัญหา ธุรกิจรายย่อยในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ จ้างพนักงานใหม่ยาก ต้องเพิ่มเงินเดือนเพื่อดึงดูดให้คนมาทำงาน

ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีนโยบายช่วยเหลือผู้ว่างงานในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการให้เงินสนับสนุนสัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9,363 บาท เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คนอยู่บ้าน แทนที่จะต้องออกไปทำงาน โดยเฉพาะตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ

แม้ว่าการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องตกงานในช่วงที่โควิด-19 ระบาด รวมถึงสนับสนุนให้ประชาชนอยู่บ้านจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องทำ แต่กลายเป็นว่าเงินช่วยเหลือสัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์สหรัฐ จะกลายเป็นดาบสองคมที่แม้ประชาชนจะได้ประโยชน์ แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยกลับได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขาดแคลนแรงงาน

ธุรกิจขนาดเล็กบ่น สวัสดิการผู้ว่างงานดีเกินไป จนหาคนทำงานใหม่ยาก

เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่น ว่าเริ่มมีความกังวลการเพิ่มค่าแรง และสวัสดิการให้พนักงาน ไม่สามารถดึงดูดพนักงานใหม่ให้เข้ามาทำงานได้อีกต่อไป

เช่นเดียวกันกับเจ้าของแฟรนไชส์ร้าน McDonald’s จำนวนมาก ก็พุ่งเป้าไปที่สวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานเช่นเดียวกัน ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารหาพนักงานใหม่เข้ามาทำงานได้ยากขึ้น ในตอนหนึ่งของหนังสือแถลงการณ์ของเจ้าของร้านแฟรนไชส์ McDonald’s ระบุว่า “จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนสามารถอยู่บ้าน แล้วหาเงินได้มากกว่าการออกไปทำงานข้างนอก”

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Chicago เคยศึกษาการให้เงินสวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานสัปดาห์ละ 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,744 บาท เมื่อปี 2020 พบว่า การให้เงินสวัสดิการนี้ทำให้คนเกิดการใช้เงินมากกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เมื่อเทียบกับตอนยังไม่มีเงินสวัสดิการนี้ นั่นแปลว่าผลกระทบก็จะตกไปยังผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ที่จ้างพนักงานได้ยากขึ้น เพราะกลายเป็นว่าสวัสดิการของผู้ว่างงานได้เงินมากกว่าการทำงานจริงๆ

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Pennsylvania แสดงความเห็นว่า หากไม่มีสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน ธุรกิจต่างๆ ก็จะสามารถจ้างคนได้ง่ายขึ้นจริง แต่สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการจ้างงานที่ขยายตัวมากขึ้นมากกว่า

จากสถิติการจ้างงานของสหรัฐ พบว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำแหน่งงานที่กำลังเปิดรับเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปี ส่วนในเดือนมีนาคม มีตำแหน่งงานที่กำลังเปิดรับอยู่รวมทั้งสิ้น 8.1 ล้านตำแหน่ง (ข้อมูลจาก Bureau of Labor Statistics)

เงินช่วยเหลือมากเกินไป หรือค่าแรงที่นายทุนให้ไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตามในอีกมุมมองหนึ่งก็สามารถมองได้เช่นกันว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่คนทำงานในสหรัฐอเมริกาได้ต่ำเกินไป จนกลายเป็นว่าเงินสวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานมีความเหมาะสมมากกว่าหรือไม่ รวมถึงก่อนหน้านี้ไม่นานโจ ไบเดน ก็เพิ่งประกาศเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้กับพนักงานของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง หรือประมาณ 468 บาท

อย่างในกรณีของกลุ่มเจ้าของร้านแฟรนไชส์ McDonald’s ที่ให้ความเห็นว่าเงินสวัสดิการผู้ว่างงานที่รัฐบาลให้ ทำให้หาคนมาทำงานได้ยากยิ่งขึ้น ก็ต้องเทียบให้เห็นภาพจากการจ่ายค่าแรงให้กับพนักงาน McDonald’s ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ Alexandria Ocasio-Cortez ซึ่งเป็นนักการเมืองสหรัฐอเมริกา ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าในปัจจุบัน McDonald’s บางแห่งจะให้ค่าแรงแก่พนักงานสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดไว้ที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง หรือประมาณ 226 บาท เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ

แต่เมื่อเทียบกับ McDonald’s ในประเทศเดนมาร์ก ที่จ่ายค่าแรงให้พนักงาน 22 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง หรือประมาณ 686 บาท และยังมีวันหยุดประจำปีอีก 6 วัน อีกด้วย แม้ว่าประเทศเดนมาร์กจะไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นตำ่ด้วยซ้ำ แต่อาศัยการรวมตัวกันของสหภาพแรงงานที่แข็งแรงเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง

ที่มา – The Guardian, Business Insider, MarketWatch

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา