สหรัฐได้ส่งเรื่องร้องเรียนให้กับ WTO กรณีที่จีนพยายามที่จะขโมยและละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากับสหรัฐ ซึ่งเป็นการร้องเรียนก่อนหน้าที่คาดว่าทั้ง 2 ผู้นำจะมีการเจรจาในการประชุม G20 อีกด้วย
หน่วยงานพิจารณาเรื่องร้องเรียนขององค์การการค้าโลก หรือ WTO ได้รับคำร้องจากสหรัฐอเมริกาเรื่องที่จีนพยายามที่จะขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และเทคโนโลยีการผลิต ถึงแม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่ว่าประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศจะมีการพบปะพูดคุยในกรณีสงครามการค้าในการประชุมผู้นำ G20 ก็ตาม
เอกสารกว่า 53 หน้าที่สหรัฐได้ส่งให้ WTO ได้กล่าวถึงประเทศจีนในกรณีของนโยบายประเทศจีนที่มีนโยบายไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่ทำให้บริษัทเอกชนจากต่างประเทศไม่พอใจ รวมไปถึงการที่จีนได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจากสหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาที่สหรัฐเชื่อว่าทางการจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหล่าแฮ็กเกอร์ที่ได้พยายามโจมดีทางไซเบอร์ใส่บริษัทเอกชนสหรัฐ ซึ่งมีความรุนแรกมากขึ้นทุกวัน ยังรวมไปถึงกรณีที่เกี่ยวข้องอย่างการขโมยเทคโนโลยีการผลิตด้วย
- จีนอีกแล้ว! ก.ยุติธรรมสหรัฐฟ้องรัฐวิสาหกิจจีน “ขโมยเทคโนโลยี” ชิปหน่วยความจำ
- ทรัมป์และสี จิ้นผิง กลับมาคุยประเด็นสงครามการค้าอีกรอบ แรงกดดันกลับตกอยู่ที่จีน
นอกจากนี้ยังมีกรณีใหม่ๆ อย่างเช่น รายงานจากวิทยาลัยนาวิกโยธินสหรัฐ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทล อาวีฟ ถึงพฤติกรรมของ China Telecom ที่มีความพยายามย้ายข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเจ้าใหญ่ๆ ให้วิ่งผ่านระบบของตัวเองก่อนที่จะส่งต่อให้ปลายทาง
โดยทั้ง 2 ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ และรวมไปถึงจีน พยายามที่จะใช้เวทีของ WTO เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะกล่าวหาแต่ละฝ่าย โดยในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายกล่าวหาว่าแต่ละฝ่ายต่างละเมิดกฏของ WTO เสียเอง รวมไปถึงนำกรณีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของแต่ละฝ่ายร้องเรียนใน WTO ด้วย
ยังหวังว่าจะเจรจาได้ด้วยดี
อย่างไรก็ดีที่ Wang Chao ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของจีนหวังว่าการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายจะราบรื่นไปได้ด้วยดี สอดคล้องกับ Larry Kudlow หัวหน้าที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวของสหรัฐ ได้กล่าวถึงการเจรจากับจีนว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการติดต่อพูดคุยกันทุกระดับ นอกจากนี้ Wang Shouwen ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน ยังได้กล่าวว่า “จีนและสหรัฐจะพบกันครึ่งทางในการเจรจา”
ที่มา – Strait Times, Bloomberg [1], [2],
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา