เจ้าของมวยกรง UFC ควบรวมกิจการศึกมวยปล้ำ WWE สร้างอาณาจักร Sports Entertainment 7.2 แสนล้านบาท

Endeavor Group เจ้าของ UFC ศึกมวยกรงอันดับ 1 ของโลก ประกาศควบรวมกิจการกับ WWE ศึกมวยปล้ำ และกีฬาเพื่อความบันเทิงยักษ์ใหญ่ เพื่อสร้างกิจการใหม่มูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.2 แสนล้านบาท พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ชื่อย่อ TKO

WWE UFC
ภาพจาก WWE

UFC รวม WWE สร้างอาณาจักร Sports Entertainment

สำนักข่าว CNN รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2023 ตามเวลาสหรัฐอเมริกา Endeavor Group เจ้าของลิขสิทธิ์ UFC ศึกมวยกรงอันดับ 1 ของโลก และ WWE ศึกมวยปล้ำ และกีฬาเพื่อความบันเทิงยักษ์ใหญ่ ประกาศรวมกิจการพร้อมสร้างบริษัทใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจแต่ยังไม่มีชื่อ เพียงแต่มีตัวย่อเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ว่า TKO

การประกาศควบรวมกิจการกันของ UFC และ WWE จะสร้างกิจการใหม่ที่มีมูลค่ามากกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นจาก UFC 12,000 ล้านดอลลาร์ และ WWE 9,300 ล้านดอลลาร์ และบริษัทใหม่นี้ผู้ถือหุ้นฝั่ง Endeavor Group จะถือในสัดส่วน 51% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นฝั่ง WWE

ส่วนคณะกรรมการบริษัทใหม่จะมีทั้งหมด 11 คน มาจากฝั่ง Endeavor Group 6 คน ที่เหลือมาจากฝั่ง WWE และการรวมกันของทั้งสองกิจการจะช่วยให้แต่ละฝั่งประหยัดต้นทุนกว่า 50-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าดีลนี้จะเสร็จสิ้นภายในครึ่งหลังของปี 2023

เป็นเรื่องที่เห็นได้ยากในการรวมกันของ 2 ผู้นำ

“ถือเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากในการสร้างธุรกิจเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดกีฬา และความบันเทิงโดยเฉพาะเพื่อกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมนี้” Ariel Emanuel ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Endeavor Group กล่าว โดยเขาจะขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทใหม่นี้

ส่วน Vince McMahon เจ้าของ และผู้ปั้นให้ WWE โด่งดังไปทั่วโลก ยังดำรงตำแหน่งประธานบริหารของ WWE เช่นเดิม ทั้งยังเตรียมศึกษาการซื้อ หรือควบรวมกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างโอกาสการเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ

ปัจจุบัน Endeavor Group มีธุรกิจหลักคือ William Morris Endeavor เอเจนซี่ศิลปิน และนักแสดงยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด โดยบริษัทเข้ามาถือครองสิทธิ์ UFC ในปี 2021 และรายได้จากธุรกิจกีฬาของบริษัทยังเติบโต 20% ในปี 2022 เป็นมูลค่ากว่า 1,300 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากการจำหน่ายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดที่มากกว่าเดิม

คู่แข่งเข้ามามาก แต่ก็ล้ม UFC และ WWE ไม่ได้

ในทางกลับกัน ดีลการรวมกิจการระหว่าง UFC กับ WWE ถือเป็นการปิดฉากความเป็นธุรกิจครอบครัวของ WWE เพราะหลังจาก Vince McMahon ซื้อบริษัทนี้มาจากพ่อของเขาเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 80s พร้อมปรับเปลี่ยนเป็นกีฬาเพื่อความบันเทิงยักษ์ใหญ่ผ่านการถ่ายทอดสดการปล้ำทุกสัปดาห์

ทั้งสร้างรายได้จากการจำหน่ายสินค้า และสินค้าลิขสิทธิ์อื่น ๆ นอกจากการขายตั๋วเข้าชม และถึงจะมีคู่แข่งที่ทำธุรกิจในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ WWE ก็ยังเป็นอันดับในตลาด เช่นเดียวกับ UFC ที่ปัจจุบันมีมวยกรง หรือการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสม Mixed Martial Art (MMA) จำนวนมาก แต่ UFC ยังเป็นเบอร์ 1

อย่างไรก็ตามปี 2022 Vince McMahon ถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร เนื่องจากถูกตรวจพบเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ และนำเงินองค์กรไปจ่ายโดยไม่แจ้งเพื่อปิดปากอดีตพนักงานผู้หญิงที่ถูกกระทำรวมเป็นเงินมากกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ ถึงขั้น WWE ต้องแจ้งปรับผลประกอบการใหม่ในปี 2019-2021

ปิดฉากความเป็นธุรกิจครอบครัวของ WWE

Vince McMahon กลับเข้ามาบริหารงาน WWE อีกครั้งในต้นปี 2023 โดยเขามากับแผนธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสธุรกิจให้กับผู้ถือหุ้น โดยหนึ่งในนั้นคือการขายกิจการ ซึ่งสุดท้ายแล้วเกิดดีลรวมกิจการกับ UFC และปิดฉากการบริหารธุรกิจโดยคนในครอบครัว McMahon โดยสมบูรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปี 2022 WWE ทำรายได้กว่า 1,290 ล้านดอลลาร์ และก่อนหน้าเกิดการรวมกิจการกับ UFC ทาง WWE ได้ควบรวมกิจการศึกมวยปล้ำคู่แข่งหลายรายการ หนึ่งในนั้นคือ WCW คู่แข่งในยุค 90s ที่ทำเรตติ้งแซง WWE ได้

ล่าสุด WWE จัดศึก WrestleMania 39 ศึกใหญ่ประจำปี เมื่อต้นเดือน เม.ย. 2023 กินเวลา 2 วัน จำหน่ายตั๋วได้กว่า 21.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน 27% ผ่านผู้ชมในสนาม 1.61 แสนคน เป็นสถิติใหม่ รวมถึงยังขายสปอนเซอร์ได้กว่า 20 ล้านดอลลาร์ และสินค้าที่ระลึกเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน

อ้างอิง // CNN, WWE

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา