เจ๊ตบหน้าหนู หนูไม่ว่าอะไร แต่ที่เจ๊ไล่หนูออกจากบ้าน นี่บ้านเจ๊หรอคะ
หลังจากดำรงตำแหน่งมาได้เกือบ 5 เดือน เราก็พอจะเห็นผลงานอันโดดเด่นของประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ มามากมาย
แต่ถ้าคุณคิดว่ามาตรการเหล่านั้นมันเหลือเชื่อแล้ว ล่าสุด ทรัมป์ประกาศแบน 19 ประเทศ ไม่ให้เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา
‘คำสั่งห้ามการเดินทาง’ หรือ ‘Travel Ban’ คือการไม่อนุญาตให้พลเมืองในประเทศที่กำหนดเดินทางเข้ามาในเขตของสหรัฐฯ และสามารถจำแนกการแบนออกเป็นสองกลุ่มคือ
กลุ่มที่ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการอพยพหรือไม่ก็ตาม
- อัฟกานิสถาน
- เมียนมา
- ชาด
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
- อิเควทอเรียลกินี
- เอริเทรีย
- เฮติ
- อิหร่าน
- ลิเบีย
- โซมาเลีย
- ซูดาน
- เยเมน
กลุ่มที่ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ด้วยวีซ่าบางประเภท
- บุรุนดี
- คิวบา
- ลาว
- เซียร์ราลีโอน
- โตโก
- เติร์กเมนิสถาน
- เวเนซุเอลา
ทรัมป์กำลังคิดอะไรอยู่?
กำจัดผีน้อย ผู้ก่อการร้าย และคนกินหมา
หลักๆ แล้ว สาเหตุที่รัฐบาลสหรัฐเลือก 19 ประเทศนี้มาจากอัตราการอยู่เกินกำหนดของวีซ่าที่สูงกว่าคนชาติอื่นๆ
แต่ในบางประเทศอย่าง อัฟกานิสถาน เอริเทรีย โซมาเลีย ซูดาน เยเมน ลิเบีย และเวเนซุเอลา อีกเหตุผลหนึ่งที่ทรัมป์ต้องแบนก็เพราะเชื่อว่า ประเทศเหล่านี้ไม่มีหน่วยงานที่น่าเชื่อถือพอสำหรับการออกพาสปอร์ต หรือตรวจสอบการเดินทางออกนอกประเทศ
บางประเทศ เช่น อิหร่าน อัฟกานิสถาน ลีเบีย โซมาเลีย และคิวบา ก็ถูกเลือกด้วยพฤติกรรมที่เข้าข่ายผู้ก่อการร้าย
จริงๆ แล้ว ในช่วงเดือนมีนาคม 2025 มีข่าวหลุดออกมาว่า ทรัมป์จะสั่งแบนสูงถึง 43 ประเทศ แต่จากประกาศทางการล่าสุดในเดือนมิถุนายน เขาปรับเหลือแค่ 19 ประเทศเท่านั้น โดยเจาะจง ‘เฮติ’ เป็นพิเศษ พร้อมให้เหตุผลอันเป็นเท็จตั้งแต่ช่วงหาเสียงว่า คนกลุ่มนี้ “กำลังเอาสัตว์เลี้ยงของคนในพื้นที่ไปกิน”
ทรัมป์ยังเสริมอีกว่า ชาวเฮตินับแสนเดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายในสมัยของประธานาธิบดีไบเดน และการหลั่งไหลเข้ามาของพวกเขากำลังทำร้ายชาวอเมริกัน
ความจริงแล้ว คนเฮตินับแสนที่ทรัมป์พูดถึง เดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย เนื่องจากพวกเขามี ‘สถานะการคุ้มครองชั่วคราว’ เพราะไม่สามารถเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดอย่างปลอดภัยได้
แต่พอทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งต่อจากไบเดน เขาก็ตัดสิทธิ์การอยู่อาศัยของชาวเฮติ 211,000 คน รวมถึงชาวเวเนซุเอลา 117,000 คน และชาวคิวบาอีก 110,000 คนด้วย
ไม่ใช่แค่นั้น ผู้อพยพจากอัฟกานิสถานก็เคยได้รับสถานะการคุ้มครองชั่วคราวเช่นกัน โดยต้องแลกกับการเป็นกำลังทหารให้อเมริกา
แต่แม้ว่าพวกเขาจะช่วยปกป้องชาติสหรัฐฯ ขนาดไหน ในเดือนพฤษภาคม 2025 กระทรวงความมั่นคงสหรัฐฯ ก็ประกาศตัดสิทธิ์สถานะการคุ้มครองชั่วคราวของชาวอัฟกานิสถานไป
แบน 19 ประเทศ ยกเว้นคนที่จะมีประโยชน์กับสหรัฐฯ
สำหรับพลเมือง 19 ประเทศดังกล่าวที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ทางทำเนียบขาวบอกว่า รัฐบาลจะไม่ระงับวีซ่าพวกเขา และยังสามารถอยู่ในประเทศได้ตามปกติ
แต่ถ้าใครอยากขอวีซ่าใหม่ ก็อาจเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะรัฐบาลจะให้ข้อยกเว้นในไม่กี่กรณีเท่านั้น ประกอบไปด้วย
- บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย (Permanent Resident) รวมถึงครอบครัวใกล้ชิดของพวกเขา โดยต้องมีวีซ่าผู้อพยพ
- เจ้าหน้าที่รัฐที่ได้วีซ่าผู้อพยพพิเศษ
- บุคคลที่จะอุปถัมภ์เด็กกำพร้าไปเลี้ยง
- บุคคลที่ถือสองสัญชาติ โดยต้องไม่เดินทางด้วยพาสปอร์ตจากประเทศที่ถูกสั่งห้าม
- ชาวอัฟกานิสถานที่ถือวีซ่าผู้อพยพพิเศษ
- บุคคลที่ถือวีซ่าผู้อพยพและเป็นชนกลุ่มน้อยด้านชนชาติและศาสนาที่จะโดนประหารในอิหร่าน
- ชาวต่างชาติที่ถือวีซ่าบางประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการอพยพ
- นักกีฬา เจ้าหน้าที่ และโค้ช รวมถึงครอบครัวใกล้ชิดของพวกเขาที่เดินทางมาเพื่อการแข่งขันกีฬา เช่น World Cup 2026 หรือ Olympics 2028
- บุคคลที่ถือวีซ่าประเภททูต และครอบครัวใกล้ชิดของเขา
กรณีนอกเหนือจากนี้ ทางรัฐบาลบอกว่า ต้องพิจารณาเป็นเคสๆ ไป ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลที่มาเยือนจะมีประโยชน์กับสหรัฐฯ มากแค่ไหน
เคยทำแล้ว แต่รอบนี้ทำอีก แบบผ่านการคิดมาเยอะขึ้น
เอาจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ประกาศคำสั่งห้ามการเดินทาง เพราะในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกของเขา ทรัมป์สั่งแบน 7 ประเทศที่นับถืออิสลามเป็นหลัก ได้แก่ อิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน
การสั่งแบนครั้งนั้น ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักมากว่าเป็น ‘Muslim Ban’ และแน่นอนว่า ทำเนียบขาวไม่นิ่งดูดาย ตัดสินใจพิจารณาคำสั่งแบนอีกที ก่อนจะเพิ่มอีก 2 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือกับเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นชาติที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากจำนวนประเทศที่ถูกแบนแล้ว คำสั่งห้ามเดินทางในปี 2017 กับปี 2025 ยังมีข้อแตกต่างอื่นๆ อยู่เล็กน้อย เช่น
- รูปแบบคำสั่ง: คำสั่งในปี 2017 เป็นคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ขณะที่คำสั่งในปี 2025 เป็นประกาศของประธานาธิบดี (Presidential Proclamation)
- การบอกล่วงหน้า: คำสั่งในปี 2017 มีผลบังคับใช้ทันที จนสร้างความโกลาหลให้สนามบินทั่วสหรัฐฯ เนื่องจากประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศที่ถูกแบน ต้องติดแหงกอยู่ในนั้น ขณะที่คำสั่งในปี 2025 มีการบอกล่วงหน้าราวๆ 5 วัน โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเป็นวันแรก
- ความครอบคลุม: คำสั่งในปี 2025 ก็มีข้อยกเว้นดั่งที่กล่าวไป แต่สำหรับปี 2017 คำสั่งนี้ครอบคลุมไปถึงบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ถาวร และบุคคลที่ถือวีซ่าด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่ศาลหลายๆ แห่งในสหรัฐฯ มองว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
จากข้อแตกต่างทั้งหมด แม้จำนวนประเทศที่ถูกแบนในรอบนี้จะเยอะกว่า ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “มันผ่านการคิดมาบ้างแล้ว” แต่ก็เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่อาจต้องให้ศาลฎีกามาตัดสินอีกที
ผ่านการคิดมาแล้ว ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไป

อย่างไรก็ตาม คิดมาดีกว่าครั้งแรก ไม่ได้แปลว่าผลลัพธ์จะออกมาบวกเสมอไป เพราะหลายๆ ประเทศที่ถูกแบนเริ่มออกมาเรียกร้องบ้างแล้ว อาทิ
- ‘รัฐมนตรีว่าการกระทวงมหาดไทย ความยุติธรรมและสันติภาพเวเนซุเอลา’ บอกว่า รัฐบาลสหรัฐเป็นพวกฟาสซิสต์ และไม่ใช่แค่ชาวเวเนซุเอลาในสหรัฐฯ เท่านั้นที่ตกอยู่ในความเสี่ยง แต่หมายถึงทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเลยต่างหาก
- ‘สหภาพแอฟริกา’ ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลว่า การกระทำของทรัมป์ในครั้งนี้อาจส่งผลเสียหลายๆ อย่าง ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การค้าขาย การศึกษา รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายต่างเฝ้าถนอมกันมาตั้งนาน
- ‘ตัวแทนจากโซมาเลีย’ บอกทรัมป์ว่า ทางรัฐบาลยินดีที่จะนัดเจรจาประเด็นเรื่องผู้ก่อการร้ายที่ทรัมป์กังวล
นอกจากในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจต้องเสียไปแล้ว ยังมีรายงานอีกว่า คำสั่งห้ามการเดินทางของทรัมป์ กำลังส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี การแพทย์ และการศึกษาของสหรัฐฯ อย่างมาก เพราะตามสถิติแล้ว ลำพังแค่ในอุตสาหกรรมการศึกษาและการแพทย์ อเมริกาก็ว่าจ้างชาวต่างชาติมากถึง 5.5 ล้านคน
กลายเป็นว่า ตอนนี้ บริษัทต่างๆ ไม่สามารถจ้างคนจาก 12 ประเทศที่ถูกแบนอย่างเด็ดขาดได้ ส่วนอีก 7 ประเทศ นายจ้างก็ไม่สามารถเป็นสปอนเซอร์ ‘กรีนการ์ด’ ให้ แถมอายุขัยวีซ่ายังน้อยลงอีก
ดังนั้น มาตรการของทรัมป์รอบนี้ไม่ได้เพียงกำจัดผู้ก่อการร้ายหรือผีน้อยออกไป แต่เป็นการแบนชาวต่างชาติมากความสามารถที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนวิชาการของสหรัฐฯ ด้วย
สุดท้าย มาตรการสุดบ้าระห่ำของทรัมป์จะไปสิ้นสุดตรงไหน หรือจะมีประเทศอะไรโดนแบนอีกบ้าง คงไม่มีใครทราบ แต่ขณะที่เขาพยายาม Make America Great Again ดั่งที่สัญญาไว้ อาจหลงลืมไปด้วยว่า ที่ประเทศมีวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็มาจากกลุ่มคนที่เขากำลังผลักไสไป
ที่มา: The Guardian (1) (2) (3), BBC, The New York Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา