จำเป็นจริงหรือแค่การตลาด? เปิดเทรนด์น้ำดื่มผสมวิตามิน ทางเลือกใหม่ของคนไทยรักสุขภาพ

เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาหนึ่งในกระแสของวงการน้ำดื่มที่เราคุ้นเคยกันดีคงจะหนีไม่พ้น “ชาเขียว” เรียกได้ว่าตู้แช่เครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อต้องมีน้ำดื่มชาเขียว ที่มีรสหวาน แช่เย็น เอาไว้ดื่มคลายความกระหาย กินพื้นที่เบียดบังเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ อย่างแน่นอน

แต่ในยุคปัจจุบัน เครื่องดื่มที่กำลังได้รับความนิยมไม่ใช่ชาเขียวอีกต่อไปแล้ว ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และมีเครื่องดื่มชนิดใหม่เข้ามาแทนที่ เป็นตัวเลือกเพื่อคลายความกระหาย นั่นคือ น้ำดื่มผสมวิตามิน

ปัจจุบันมูลค่าของตลาดน้ำดื่มไทย ในช่วงเดือนมกราคม ถึง สิงหาคม 2563 นี้  มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 18,956 ล้านบาท ลดลง 6.3% จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อ โดยตลาดน้ำดื่มในประเทศไทย แบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ ได้อีก คือ กลุ่มน้ำแร่ มีมูลค่าลดลง 24.2% น้ำเปล่า ลดลง 3% โดยน้ำเปล่านี้จะแบ่งออกเป็น น้ำเปล่าธรรมดา มีมูลค่าตลาดลดลง 6.3%

แต่น้ำดื่มที่มีการผสมวิตามิน กลับกลายเป็นเพียงน้ำดื่มเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่สามารถเติบโตกว่า 75.1% ด้วยมูลค่าตลาด 1,203 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 6.7% ของตลาดน้ำดื่มทั้งหมด แม้ในปัจจุบันน้ำดื่มผสมวิตามิน จะเป็นเพียงสัดส่วนเล็กๆ ของตลาดน้ำดื่มไทยทั้งหมด แต่ในอนาคตตลาดนี้จะมีมูลค่าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากผู้เล่นหลายราย ที่เริ่มส่งน้ำดื่มผสมวิตามิน เข้าสู่ตลาดมากขึ้น

ทำไมน้ำดื่มผสมวิตามิน จึงเริ่มได้รับความนิยม?

ความนิยมน้ำดื่มผสมวิตามินที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา เกิดจากพฤติกรรมของคนไทย ที่มีแนวโน้มให้ความสนใจกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คนไทย ต้องการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ให้ความสนใจกับอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

นอกจากนี้ คนไทย มีพฤติกรรมชอบรับประทานวิตามินอาหารเสริมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2560 ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ ทั้งวิตามิน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ มีมูลค่ามากถึง 140,000 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งในช่วงที่ผ่านมา กระแสรักสุขภาพมาแรง คนไทยหลายๆ คน ต้องการดูแลร่างกาย ควบคุมน้ำหนัก อยากหุ่นดี ด้วยการออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เครื่องดื่มที่มีรสหวานจึงไม่ตอบโจทย์คนในยุคนี้อีกแล้ว เพราะดื่มแล้วอ้วน ไม่ดีต่อสุขภาพ

แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ ถ้าเครื่องดื่มรสหวานที่มีน้ำตาลมากๆ ไม่ตอบโจทย์ แล้วเครื่องดื่มอะไรที่จะตอบโจทย์ ทั้งกระแสการรักสุขภาพ คลายความกระหายได้ดี ดื่มสะดวก เหมาะกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบของคนในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบคือ น้ำดื่มผสมวิตามิน

ภาษีความหวาน เหตุผลของผู้ประกอบการ

ส่วนในมุมมองของผู้ประกอบการ นอกจากการผลักดันน้ำดื่มผสมวิตามินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการรักสุขภาพของคนไทยแล้ว ยังมีเรื่อง “การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากค่าความหวาน” ที่กลายเป็นตัวการสำคัญเช่นกัน เพราะในเครื่องดื่มที่เราเห็นจนชินตาในร้านสะดวกซื้อ หากมีความหวาน ก็ต้องเสียภาษีความหวานทั้งสิ้น โดยจะมีการคำนวณภาษี ทั้งภาษีตามปริมาณ (ปริมาณน้ำตาลหน่วยเป็นกรัม ต่อเครื่องดื่ม 100 มิลลิลิตร) และภาษีตามมูลค่า (30% ของราคาขาย)

การหันมาขายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จึงเป็นการเปิดตลาดใหม่ จับทางกับความต้องการรักสุขภาพของคนไทย ที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แถมสามารถแก้ปัญหาภาษีความหวานไปได้ในตัว

ตลาดน้ำดื่มวิตามินในไทย มีใครเป็นผู้เล่นบ้าง

ภาพจาก vitaminwater.co.th

ผู้เล่นรายแรก ที่เป็นเหมือนคนเปิดตลาด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จากโรงพยาบาลยันฮี โดยในช่วงแรก ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ มีเฉพาะน้ำดื่มผสมวิตามิน B รวม เท่านั้น ก่อนจะมีน้ำดื่มผสมวิตามิน C ตามมาทีหลัง

การเปิดตลาดของ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ นับว่าประสบความสำเร็จอยู่ไม่น้อย เพราะในช่วงแรกๆ สินค้าขายดี จนขาดตลาด เป็นที่พูดถึงใน Social Media จำนวนมาก รวมถึงขวดและฝาอันเป็นเอกลักษณ์

ภาพจาก generalbeverage.co.th/vitaday

หลังจาก ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ประสบความสำเร็จ จึงมีผู้เล่นรายใหม่ เข้าสู่ตลาด คือ วิตอะเดย์ วิตามินวอเตอร์ ที่มีให้เลือกทั้ง วิตามิน B รวม 100% กลิ่นเก๊กฮวย และวิตามิน C 200% กลิ่นเลมอน และกลิ่นพีช

ภาพจาก bemorewithblue.com

บลู น้ำดื่มผสมวิตามิน ที่มีจุดเด่นคือ มีรสชาติให้เลือกมากที่สุด ถึง 5 รสชาติ ได้แก่ พีช แพร์ คาลาแมนซี่ ลิ้นจี่ และแคกตัส มาพร้อมวิตามิน B3 B6 และ B12

ภาพจาก อิชิตัน

ส่วนรายล่าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น อิชิตัน ที่เพิ่งจะเปิดตัว อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ ซี พลัส น้ำดื่มผสมวิตามิน C และ E โดยถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอิชิตันในรอบ 10 ปี ที่หันมาทำตลาดเครื่องดื่มรักสุขภาพ นอกจากนี้อิชิตันยังมี พีเอช พลัส 8.5 น้ำด่างที่มีการผสมวิตามิน B ด้วยเช่นกัน

นอกจากผู้เล่นหลักๆ ทั้ง 4 ราย ในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินแล้ว ยังมีน้ำดื่มผสมวิตามินแบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ ที่จะเข้ามาลุยตลาดนี้ด้วยอีกหลายราย ในช่วงปีนี้

น้ำดื่มวิตามิน จำเป็นจริงๆ หรือแค่เรื่อง “การตลาด”

จากกระแสน้ำดื่มผสมวิตามิน ที่มีให้เลือกจำนวนมากในตลาด คำถามที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้บริโภคทั่วๆ ไป คือ น้ำดื่มผสมวิตามิน มีความจำเป็นจริงๆ กับร่างกายจริงหรือไม่ และดื่มแล้วจะได้ประโยชน์จากวิตามินได้อย่างเต็มที่หรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า วิตามิน เป็นสารที่อยู่ในธรรมชาติ ร่างกายของเราสามารถรับวิตามินได้จากการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น ผัก หรือผลไม้ อยู่แล้ว

รวมถึงปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการได้รับต่อวัน และสามารถดูดซึมได้มีจำกัด บางครั้งน้ำดื่มผสมวิตามิน จึงอาจเป็นเพียงลูกเล่นทางการตลาด เพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวสินค้าเท่านั้น ในระยะยาวคงต้องดูกันต่อไปว่า น้ำดื่มผสมวิตามิน จะได้รับความนิยมในตลาดนานเท่าใด จะสามารถอยู่ได้นานนับ 10 ปี เหมือนกระแสความนิยม “ชาเขียว” ในอดีต หรือไม่ ก็ต้องดูต่อไปในระยะยาว

ที่มา – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, กรมสรรพสามิตร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา