ทำไมต้องซื้อหุ้นก่อนเลือกตั้ง 6 เดือน ทิสโก้แนะจับยิลด์ 6% เร่งซื้อหุ้นก.ย.นี้

ตั้งแต่ต้นปีเราได้ยินทั้งเรื่องสงครามการค้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขาขึ้น เลยทำให้ต่างชาติกลัวความเสี่ยงเลยดึงเงินลงทุนที่เคยอยู่ในไทยกลับไป ตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้เงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเกือบ 200,000 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยเราเลยตกลงบ้าง แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสหุ้นถูกทำไมเราจะไม่ซื้อล่ะ?

ภาพจาก shutterstock

ทิสโก้ ชี้ก.ย.นี้ต้องซื้อหุ้น ก่อนเลือกตั้ง ก่อนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนไทย

วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ บอกว่า ส.ค. 2561 นับเป็นเดือนที่ 11 แล้วที่นักลงทุนต่างชาติยังเทขายสุทธิในหุ้นไทย ซึ่งหลังจากนี้ 1-2 เดือนเราจะเริ่มเห็นเทรนด์ว่านักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยแล้ว และจะต่อเนื่องไปถึงต้นปี 2562 โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนก่อนเลือกตั้ง (ก.พ. 2562) เราอาจจะเห็นต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิถึง 1 แสนล้านบาท

ทิสโก้เราไปย้อนดูข้อมูลของไทย ตั้งแต่ปี 2535 จากสถิติย้อนหลัง 26 ปี เรามีการเลือกตั้งมา 9 ครั้ง จากข้อมูลที่เก็บมาเราพบว่า ช่วงที่นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนดีที่สุด คือต้องทยอยเข้าซื้อหุ้นก่อนการเลือกตั้งอย่างน้อย 6 เดือน เพราะเรามองโอกาสกว่า 70% ที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย ขณะเดียวกันจากสถิติ

“บล.ทิสโก้คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยก่อนถึงวันเลือกตั้งเดือนก.พ. 2562 เพราะหากเกิดการเลือกตั้งจริงจะช่วยปลดล็อกการลงทุนของบางกองทุน ที่สำตัญต่างชาติขายหุ้นไทยไปเยอะแล้ว และกลายเป็นช่วงที่ต่างชาติมีอัตราการถือครองหุ้นไทยต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี เลยประเมินว่าจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติในครั้งนี้จะหนุนให้ดัชนี SET ขึ้นไปทดสอบที่ 1,800 จุดในช่วงสิ้นปี 2561 และปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,850 จุดได้ในไตรมาสที่ 1/2562”

ภาพจาก Shutterstock

เปิดลิสต์หุ้นน่าช้อนใน เดือน ก.ย. 2561

เดือนก.ย.นี้ทิสโก้มองว่าหุ้นไทยในเดือน ก.ย. 2561 คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,665-1,730 จุด ปรับตัวดีขึ้น เพราะคาดว่าจะมีปัจจัยบวกจากการที่ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย ดังนั้นจึงแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแสเงินไหลเข้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาใหญ่ที่มีแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ได้แก่

  • BJC-บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
  • CK-บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
  • COM7-บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน)
  • HANA-บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด ( มหาชน)
  • IRPC-บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
  • MINT-บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ( มหาชน)
  • PRM-บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน)
  • TCAP-บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)
ภาพจาก Shutterstock

มองระยะกลาง จับเทรนด์ปี 2562 ตลาดหุ้นจีน ไทย ญี่ปุ่น น่าลงทุน

ส่วนถ้ามองไปถึงปีหน้า ตลาดหุ้นที่น่าสนใจสำหรับปี 2562 คือ ตลาดหุ้นจีน ไทย และญี่ปุ่น เพราะมูลค่าหุ้นยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก อย่างตลาดหุ้นไทยแล้วจีนตั้งแต่ปี 2556 ดัชนีตลาดประยขึ้นประมาณ 18-20% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นถึง 90-150% อีกด้านหนึ่ง คือกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็เติบโตในระดับที่น่าสนใจ ทางทิสโก้โดยคาดว่าปี 2562 ตลาดหุ้นจีน ญี่ปุ่น และไทยจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earnings Growth) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 10%

ส่วนซปี 2561 ทิสโก้ประเมินว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นจีนจะเติบโต 5-6% ตลาดหุ้นไทยจะเติบโต 8% ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะเติบโต 3-4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา