Tencent Cloud ชู Hybrid Cloud สร้าง Digital Enterprise ขับเคลื่อนธุรกิจในยุค New Normal

Tencent Cloud กลุ่มธุรกิจคลาวด์ภายใต้ Tencent ตอกย้ำศักยภาพระบบ Hybrid Multicloud เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจต่างๆ เดินหน้าเข้าสู่โลกดิจิทัลเต็มรูปแบบ

tencent

ผสานระหว่าง Private และ Public Cloud

ระบบ Hybrid Cloud หมายถึงการทำงานแบบผสมผสานระหว่างระบบไพรเวทคลาวด์ (Private Cloud) และระบบพับลิกคลาวด์ (Public Cloud) ซึ่งเป็นบริการจากบุคคลที่สามสำหรับการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยหลักแล้วจะใช้ระบบแบบผสมผสานนี้เพื่อช่วยถ่ายโอนปริมาณงานไปมาระหว่างคลาวด์ทั้ง 2 ระบบได้อย่างคล่องตัว ข้อมูลจาก IDC เปิดเผยว่า ระบบไฮบริด มัลติคลาวด์ จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ระบบดิจิทัล โดยภายในปี 2564 ธุรกิจทั่วโลกกว่าร้อยละ 90 จะต้องพึ่งพาการใช้ระบบปฏิบัติการณ์คลาวด์แบบผสมผสานทั้งแบบไพรเวทคลาวด์ พับลิกคลาวด์จากผู้ให้บริการต่างๆ และแพลตฟอร์มแบบดั้งเดิม (Legacy Platform) เพื่อตอบสนองความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละองค์กรที่ต้องการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบดิจิทัล

tencent
ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย)

ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัวและเข้าสู่ภาวะถดถอย ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักที่เกิดขึ้น ‘การปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัลจะช่วยองค์กรต่างๆ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางยุค New Normal เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ระบบปฏิบัติการคลาวด์ระดับเวิล์ดคลาสในตลาดประเทศไทยและอาเซียน จึงมุ่งนำเสนอโซลูชันคลาวด์แบบไฮบริดที่พร้อมใช้งานได้ทั่วโลก ช่วยสร้างเสถียรภาพด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่น พร้อมด้วยโซลูชันอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม และทุกธุรกิจในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

องค์กรต่างๆ เดินหน้าสู่การใช้งานคลาวด์เพื่อเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัล เทนเซ็นต์ คลาวด์มีข้อแนะนำ 3 ประการ สำหรับองค์กรที่ต้องการสร้าง “ดิจิทัล คลาวด์ แพลตฟอร์ม” เพื่อให้สามารถสร้างระบบดิจิทัล คลาวด์ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนี้

  • โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่เพิ่มขยายหรือปรับลดได้ (Scalable Cloud Infrastructure)
    การวางโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่สามารถปรับขนาดได้ในอนาคตจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดจำนวนทรัพยากรตามความต้องการ ช่วยเร่งกระบวนการการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เกิดความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และความปลอดภัย
  • แพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน (Agile Distribution Platform) ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ โดยองค์กรสามารถตรวจสอบและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ระบบเอดจ์คอมพิวติ้งอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกัน (Connected Edge Intelligence) ช่วยปรับปรุงระบบประมวลผลข้อมูลพร้อมสร้างเกราะกำบังด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการเข้าสู่ข้อมูลภายในองค์กร

tencent

วิลเลียม ลี Research Director จากไอดีซี กล่าวว่า “การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในแบบไฮบริด มัลติคลาวด์ (Hybrid Multicloud Digital Platform) จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และขับเคลื่อนการสร้างรายได้ในรูปแบบใหม่ผ่านความร่วมมือ และการสร้างสรรค์ นำเสนอสิ่งใหม่ๆ ร่วมกันกับพันธมิตรในระบบนิเวศนั้นๆ ในขณะที่องค์กรต่างๆ ได้เริ่มทำงานบนสภาพแวดล้อมแบบระบบไฮบริด มัลติคลาวด์ ที่สามารถทำงานประสานกันระหว่างคลาวด์จากหลากหลายแห่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่องค์กรจะต้องเลือกสรรผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อมารองรับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล”

“ผู้ให้บริการคลาวด์จำเป็นต้องเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ในการนำระบบไฮบริด มัลติคลาวด์มาใช้ ขณะเดียวกันลูกค้าก็จำเป็นต้องมองหาตัวเลือกที่ให้ความยืดหยุ่นจากระบบคลาวด์แบบกระจายตัว (Distributed Cloud) ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ดังเช่นเทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่มีทั้งพับลิกคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร และเอดจ์คอมพิวติ้ง (Edge) โดยความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนควบคุมการ และจัดการปริมาณงานอย่างทั่วถึงทั้งกระบวนการทำงานด้านไอที เพื่อผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ และก้าวสู่การเป็น ‘ดิจิทัล เอ็นเตอร์ไพรส์’ ในยุค New Normal ได้อย่างเต็มรูปแบบ” ชาง กล่าวสรุป

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา