หากสังเกตบนท้องถนนจะพบว่ารถยนต์ SUV หรือ Sport Utility Vehicle นั้นวิ่งอยู่จำนวนมาก แถมเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย เพราะมันเกิดขึ้นทั่วโลก แล้วอย่างนี้มันจะเรียกว่าหมดยุครถเก๋งแล้วหรือไม่
![SUV](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2019/05/bmw-1216445_1280.jpg)
วนกลับมาสู่ยุครุ่งโรจน์ของ SUV อีกครั้ง
รถยนต์แบบ SUV นั้นเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 30s (พ.ศ. 2473) เพราะเป็นภาวะสงคราม และมีการใช้รถยนต์ลุยๆ แบบนี้ในทางทหารกันเต็มไปหมด จนเกิดการผลิตเพื่อผู้บริโภคทั่วไปจำนวนน้อย ส่วนถ้าผลิตแบบจำนวนมากจริงๆ ต้องช่วงทศวรรษ 80s (พ.ศ. 2523) เพราะมันเป็นการประยุกต์รถแบบลุยๆ ให้ใช้งานได้จริงบนท้องถนน
แต่กว่าจะเข้าจุดนิยมสูงสุดในตัว SUV ช่วงแรกก็ต้องรอถึงปลายทศวรรษ 90s ถึงต้น 2000 (พ.ศ. 2533-2543) เพราะเริ่มมีค่ายผู้ผลิตหลากหลายแบรนด์ทำตลาดรถยนต์แบบนี้ ถึงขนาดผู้บริโภคมองข้าม Sedan กับ Station Wagon หรือรถเก๋ง กับรถแวน เพื่อไปเลือกซื้อรถคันใหญ่ๆ ลุยๆ แทน
![SUV](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2019/05/honda-e1557833104515.jpg)
อย่างไรก็ตามพอเข้าช่วงกลางปี 2010 (พ.ศ. 2553) ความนิยมของรถยนต์ SUV เริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้กลับมากับขนาดใหญ่ๆ แต่กลายเป็น SUV ขนาดกลาง และเล็ก หรือที่เรียกว่ารถ Crossover แทน ซึ่งทุกค่ายผู้ผลิตก็ออกแบบรถยนต์ดังกล่าวออกมาเพื่อตอบโจทย์คนเมืองแต่ต้องการใช้งานแบบลุยๆ ด้วย
SUV บูมจนกินสัดส่วนตลาด 36.4% ในปี 2561
ยิ่งในปี 2561 บริษัทสำรวจ และวิจัย JATO พบว่า ยอดขายรถยนต์ SUV ทั่วโลกมีถึง 29.77 ล้านคัน คิดเป็น 36.4% ของยอดขายรถยนต์ทุกประเภท โดยการเติบโตครั้งนี้มาจากความนิยมในตลาดสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และจีนที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และจีนที่มียอดขายเกือบ 50% ของรถยนต์ทุกประเภทเลยทีเดียว
![Mercedes-Benz GLS](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2019/04/18C1071_066-1.jpg)
ทั้งนี้ตัวรถ SUV ที่นิยมที่สุดในปี 2561 ก็ไม่พ้น SUV แบบ Compact ที่นำมาโดย Toyota Rav4 และ Honda CR-V โดยกินสัดส่วนยอดขาย SUV ทั่วโลกถึง 41% อาจเพราะตัวขนาด และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รองลงมาเป็นกลุ่ม Mid-Size, Sub-Compact และ Large ตามลำดับ
มากกว่าไปกว่านั้นคือกลุ่มค่ายรถยนต์หรูก็หันมาทำตลาด SUV กันเต็มที่ด้วย และประเภท SUV ที่จำหน่ายได้ดีก็คือกลุ่ม Compact เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น GLC ของ Mercedes-Benz หรือ X3 ของ BMW ซึ่งทั้งคู่ก็มีการพัฒนาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีกว่าเดิมด้วย เรียกได้ว่าขับคันใหญ่ แต่ก็ประหยัดน้ำมัน และปล่อยมลพิษน้อย
![SUV](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/06/kia_pressrelease_2018_header_620x466_niroev_3.jpg)
อนาคตอันไกล้ SUV ก็ยังอยู่เหมือนเดิม
เมื่อเกือบทุกค่ายหันมาเน้นทำตลาดรถยนต์ SUV ก็ไม่แปลกที่ตัวสัดส่วนรถประเภทนี้เมื่อเทียบกับรถแบบอื่นของแบรนด์ต่างๆ จะมีมากกว่าเดิม เช่น Honda และ BMW ก็กินสัดส่วนถึงเกือบ 40% ยิ่งแบรนด์จีนเกือบทุกเจ้า โดยเฉพาะ Geely เจ้าของแบรนด์ Volvo ก็ทำตลาด SUV เกินครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับรถประเภทอื่น
ดังนั้นพอทุกค่ายหันมาเล่นตลาดนี้กันหมด ตัวยอดขาย SUV จึงน่าจะเป็นที่นิยมไปอีกในอนาคตอันไกล้นี้ เพราะการปรับเปลี่ยนไลน์ผลิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นในสหรัฐอเมริกาก็มีการคาดการณ์ว่ายอดขาย SUV จะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2563
![รถยนต์ไฟฟ้า](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2019/04/collage-1.jpg)
ส่วนประเทศไทยนั้น ทิศทางตลาด SUV ก็เติบโตเช่นเดียวกับตลาดโลก สังเกตจากแบรนด์รถยนต์ต่างๆ ที่หันมาทำตลาดรถยนต์ประเภทนี้มากกว่าเดิม ทั้งฝั่งแบรนด์ญี่ปุ่นที่แทบจะทำตลาดทุกรูปแบบ และแบรนด์หรูเองก็ต่างชู SUV ขึ้นเป็นหัวหอกในการทำตลาด ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ SUV เต็มเมืองก็มีสูง
สรุป
ตลาด SUV มันเหมือนกับรถเก๋งแล้ว เพราะมีตั้งแต่ตลาด Sub Compact เช่น C-HR, BR-V และ HR-V คล้ายกับกลุ่ม Yaris Ativ หรือ City ของ Honda ก่อนขยับมาที่ Compact เช่น CX-5 และ Forester ที่เหมือนกับ Mazda 3 หรือ Civic นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Mid และ Large ที่คล้ายกับรถเก๋งขนาดใหญ่
ทั้งหมดนี้มันพิสูจน์ด้วยความนิยมของผู้บริโภคในตัวรถ SUV ที่อยากได้ในทุกขนาด จึงไม่แปลกที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต้องทำออกมาเพิ่มยอดขาย และส่วนตัวเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่งแน่นอน ส่วนจะเต็มเมืองขนาดไหนนั้น ก็ต้องดูปัจจัยเรื่องราคาด้วยเหมือนกันครับ เพราะรถเก๋งธรรมดาย่อมถูกกว่า SUV อยู่แล้ว
อ้างอิง // JATO, Quartz, GM, Fortune
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา