“อย่าคิดว่าเป็นสายการบินของรัฐ แล้วจะเจ๊งไม่ได้”
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ไปร่วมงานเสวนาที่มีผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจไทยหลายแห่งเข้าร่วม โดยหนึ่งในนั้นมี การบินไทย รวมอยู่ด้วย
สมคิด พูดถึงการบินไทย โดยระบุว่าสิ่งที่ภาครัฐอยากเห็น คือการร่วมมือกันของภาครัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบินที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง สายการบินที่ควบคุมต้นทุนไม่ได้ ก็จะได้รับผลกระทบไปก่อน แต่ถึงอย่างไรรัฐก็พร้อมช่วยสนับสนุน เพราะสำหรับการบินไทย รัฐบาลยังมองว่าเป็นสายการบินชั้นนำของประเทศ แต่ปัญหาเรื่องต้นทุน การบินไทยต้องจัดการให้ดี
- เมื่อเปิดข้อมูลทางการเงินของการบินไทย พบว่า ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ รายได้เติบโตและมีกำไร 2.7 พันล้านบาท ส่วนไตรมาสที่ 2 ของปีรายได้เติบโต แต่ค่าใช้จ่ายจากต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทขาดทุนสุทธิ 3.086 พันล้านบาท
“อย่าคิดว่าเป็นสายการบินของรัฐ แล้วจะเจ๊งไม่ได้” สมคิดเตือนการบินไทยพร้อมบอกต่อว่า เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยยืนยันว่าพร้อมสนับสนุน แต่การบินไทยจำเป็นต้องช่วยตัวเองให้รอดเสียก่อน
สมคิด ย้ำว่า ภายใน 3 เดือนนี้ หรือก่อนสิ้นปี การบินไทยจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องการจัดซื้อเครื่องบิน และต้องเร่งแก้ไขปัญหาการขาดทุนให้ได้ เพราะรัฐบาลนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่ ยังมีโอกาสที่จะโยกย้ายผู้บริหารของการบินไทยได้ “ผมไม่ได้พูดเล่นๆ และขณะนี้ยังมีเวลาเหลือเฟือ ก่อนเลือกตั้งที่จะโยกย้ายผู้บริหารได้”
หัวเรือใหม่มั่นใจ อีก 2 ปีจากนี้ การบินไทยจะไม่ขาดทุน!
ด้านการบินไทย หลังจากที่ขาดหัวเรือใหญ่มา 1 ปีเศษ ล่าสุด ในที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้มีมติแต่งตั้ง สุเมธ ดำรงชัยธรรม ให้ดำรงตำแหน่ง “กรรมการผู้อำนวยการใหญ่” เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา
สุเมธ หัวเรือใหญ่คนใหม่ของการบินไทย บอกว่าในอดีต การบินไทยเคยเป็นเบอร์ 1 ของไทย และสามารถทำกำไรได้มหาศาล แม้ว่าจะบริหารต้นทุนอย่างไร้ประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบัน ถ้าการบริหารต้นทุนของเรายังไม่สามารถสู้กับคู่แข่งได้ เราก็จะขาดทุนต่อไปเรื่อยๆ
การแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดของการบินไทยเหลือเพียง 27.3% จากเดิมเมื่อ 5 ปีที่แล้วมีอยู่ถึง 37% และในอีก 5 ปีข้างหน้าอาจจะเหลือ 10% และอาจล้มหายตายจากไปในที่สุด
ดังนั้นแผนหลังจากนี้ สุเมธบอกว่า การบินไทยอาจไม่ได้ต้องการซื้อเครื่องบิน 23 ลำ ซึ่งมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท แต่ต้องกลับไปวางยุทธศาสตร์การบิน ทั้งเรื่องของเส้นทาง ระยะทางทำการ และชนิดของเครื่องบินอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี ณ ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ
มากกว่านั้น สิ่งสำคัญคือการทำอย่างไรให้การบินไทยมีกำไร สุเมธ บอกว่า การบินไทยต้องขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่นธุรกิจการรักษาเครื่องบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน และธุรกิจครัวการบิน โดยสิ่งที่สำคัญต้องทำให้มีสัดส่วน 15-20% จากในปัจจุบันที่ยังมีอยู่เพียง 10% ในส่วนนี้
- อย่างไรก็ตาม สุเมธ ได้ลั่นวาจาไว้ด้วยว่า ในอีก 2 ปีหลังจากนี้ ก็คือปี 2020 การบินไทยจะไม่ขาดทุนอีกต่อไป!
- และในอีก 4 ปีจากนี้ หรือปี 2022 การบินไทยจะพลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างแน่นอน!
สรุป
วิกฤติการบินไทยเป็นเรื่องที่คนไทยรับรู้มานาน และเนื่องจากในปัจจุบันอุตสาหกรรมสายการบินแข่งขันกันอย่างดุเดือด การเป็นสายการบินแห่งชาติไม่ใช่ข้อได้เปรียบ ที่จะทำให้ผู้บริโภคกดเข้าไปซื้อตั๋วเดินทางอีกต่อไป เพราะว่าปัจจุบันมีสายการบินราคาประหยัดหน้าใหม่ๆ เข้ามาเล่นในตลาดมากมาย เช่น นกแอร์, ไทยแอร์เอเชีย, ไทยไลอ้อนแอร์, ไทยเวียดเจ็ทแอร์ ฯลฯ
หลังจากนี้คงต้องติดตามดูว่า ทั้งเรื่องที่การบินไทยบอกว่า จะไม่ขาดทุนอีกต่อไป รวมถึงการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่เพิ่มมากขึ้นนั้น เอาเข้าจริง การบินไทยจะปรับตัวอีกครั้งภายใต้หัวเรือคนใหม่และจะทำได้อย่างที่ลั่นวาจาไว้หรือไม่
คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
อ้างอิง – Nikkei Asian Review ,Thairath, Bangkokbiznews, Thaipost
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา