สิ้นปีถ้าหุ้นไทยจะแตะ 1,810 จุด ตัวไหนน่าซื้อ ลงทุนอะไรกันดี?

ตอนต้นปีตลาดหุ้นไทยดัชนีพุ่งสูงแตะ 1,800 จุด ไป แต่ก็ย่อตัวลงมาอย่างรวดเร็วจน ทำให้นักลงทุนหวั่นไหวกันถ้วนหน้า ทว่าข่าวดีก็ยังมี เพราะหลายค่ายนักวิเคราะห์บอกว่าสิ้นปีนี้หุ้นไทยมีลุ้นที่จะกลับขึ้นไป 1,810 จุดอีกครั้ง เพราะอะไรกันบ้าง

ภาพจาก Shutterstock

บล.ทิสโก้ มองสิ้นปีนี้หุ้นไทยแตะ 1,810 จุด เพราะหุ้นปรับฐานน้อยกว่าประเทศอื่น

วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ บอกว่า ทาง เราคาดว่า บล.ทิสโก้ ตลาดหุ้นไทย หรือ SET ปีนี้จะปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก คาดว่าหากดัชนีตลาดหุ้นย่อตัวจะไม่น้อยกว่า  1,670 จุด ส่วนหนึ่งเพราะช่วงไตรมาสที่ 4/ 2561 น่าจะมีแรงหนุนจากคนที่เข้าซื้อ LTF (กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ) และ RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ)  ประมาณ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น LTF 35,000 ล้านบาท และ RMF 15,000 ล้านบาท

และอาจจะมีแรงซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติเพราะ ปัจจุบันเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 เมื่อเทขายไปเยอะอาจจะมีการกลับมาเข้าซื้อหุ้นไืยเพื่อเก็งกำไรด้วย รวมถึงช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี เป็นฤดูกาลที่หุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่ทขึ้นทุกปี (ข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี) และพบว่ามีโอกาสมากถึง 63% ที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.2% หากซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4 และขายหุ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน

อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นไทยเดือนต.ค.จะปรับลงไม่หลุด 1,670 จุด และเมื่อทรงตัวแล้วจะคาอยๆ ปรับเพิ่มขึ้นจนแตะเป้าหมายปลายปี 2561 ที่ 1,770 – 1,810 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งคาดว่าจะเพิ่ทสูงขึ้นจนแตะ 1,850 จุด

ภาพจาก Shutterstock

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. 2561

หุ้นเด่นประจำเดือน ต.ค. 2561 เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก การเลือกตั้งของไทยที่จะเกิดขึ้น และจากที่ บล.ทิสโก้ คาดการณ์ว่ากลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาดี ได้แก่

  • BBL       –   ธนาคารกรุงเทพ
  • KKP       –   ธนาคารเกียรตินาคิน
  • PLANB   –   บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน)
  • WHA      –   บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • ROJNA   –   บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน)
  • STEC     –   บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)
ภาพจาก shutterstock

สภาพตลาดการเงินไทย-ทั่วโลก ทั้งปีนี้และปีหน้าจะเป็นอย่างไร

ช่วงนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลงเกือบทุกตลาด สาเหตุหลัก เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.23% ถือเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาดีต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนบางรายต้องทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อกลบการขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับลดลง

โดยประเทศที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ตลาดหุ้นกลุ่มละตินอเมริกา ยุโรป และเอเชียในบางประเทศที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าเงิน รวมไปถึงปัญหาการเมือง

ด้านตลาดหุ้นไทยปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เพราะ 1) ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่ง 1) มีประเด็นสนับสนุนจากภาครัฐที่เร่งลงทุนโครงการต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 3) ความชัดเจนของการเลือกตั้ง (คาดว่าจะกำหนดวันอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2561) จึงคาดว่าปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 จะหันกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง

“หากมองการลงทุนในระยะที่ยาวขึ้น บล.ทิสโก้คาดว่าในปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงก่อนการประกาศขึ้นดอกเบี้ยจะได้เห็นราคาหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าว ส่วนราคาทองคำในปี 2562 คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นหรือปรับตัวลงรุนแรงนัก โดยมีกรอบอยู่ที่ 1,120-1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นในปีหน้าที่จะผันผวนและลงทุนยากไม่ต่างจากปี 2561 และมีปัจจัยลบคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายเกือบทุกประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันในช่วง 4 เดือนหลังจากนี้ บล.ทิสโก้มองว่าจะอยู่ในกรอบ 70-77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

สรุป

ตลาดหุ้นไทยและโลกปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งก็เพราะกังวลความเสี่ยงในกลุ่ทประเทศเกิดใหม่(รวมไทยด้วย) ทำให้เงินทุนไหลกลับไปอยู่ใน Safe heaven เช่น พันธบัตรของสหรัฐ ที่ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่หลังจากนี้ช่วงสิ้นปีตลาดหุ้นไทยมีลุ้นจะเป็นขาขึ้น เนื่องจากความชัดเจนทางการเมือง การเลือกตั้งที่เห็นวี่แวว่าจะเกิดขึ้น ไหนจะตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่โตมาตลอด รวมถึงตลาดหุ้นย่อตัว นักลงทุนต่างชาติน่าจะสนใจกลับเข้ามาลงทุนได้ หุ้นที่น่าสนใจก็มักเป็นหุ้นใหญ่ เช่น ธนาคาร ก่อสร้าง ฯลฯ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา