สถาบันการเงินไทยเริ่มมีการนำ Blockchain มาใช้งานจริง หลังจากที่ Digital Ventures หรือ DV บริษัทในเครือของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ได้เข้าไปลงทุนใน Ripple บริษัท startup ด้าน Blockchain
ล่าสุด SCB ได้ร่วมมือกับ Ripple และ SBI Remit จากญี่ปุ่น นำ Blockchain มาใช้ในการให้บริการรับโอนเงินระหว่างประเทศแบบ Real Time สำหรับลูกค้ารายย่อยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โอนเงินจากญี่ปุ่นมาไทยได้ใน 20 นาที
อารักษ์ สุธีวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Strategy Officer ของ SCB บอกว่า บริการโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Blockchain ครั้งนี้จะเป็นบริการขาเดียว คือ จากญี่ปุ่นมาไทยก่อนในเฟสแรก ลูกค้าบุคคลทั่วไปจากต้นทางประเทศญี่ปุ่นสามารถโอนสกุลเงินเยน (JPY) มาปลายทางบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ SCB ในไทยเป็นสกุลเงินบาท (THB) ผ่านสาขาและตู้เอทีเอ็ม ของ SBI Remit และที่ทำการไปรษณีย์ ประเทศญี่ปุ่นมาบัญชี SCB โดยตรง
ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ระบบจะตรวจสอบและเงินจะเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติภายในเวลาประมาณ 20 นาทีต่อรายการ จากปกติที่การโอนเงินระหว่างประเทศจะใช้เวลามากกว่า 1 วัน (ขึ้นกับระบบและประเทศ)
“การโอนเงินจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทยแต่ละปีมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท การใช้เทคโนโลยี Blockchain จะทำให้คนไทยในประเทศญี่ปุ่นที่มีอยู่ประมาณ 40,000 คน โอนเงินกลับมายังประเทศไทย และผู้รับเงินในประเทศไทยได้รับเงินอย่างรวดเร็วผ่านบัญชีออมทรัพย์ของ SCB”
และเร็วๆ นี้ เตรียมเปิดบริการรับโอนเงินครอบคลุมกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก
ครั้งแรกกับ Blockchain ที่เป็นรูปธรรมจากฝั่งผู้ใช้ทั่วไป
สำหรับในวงการ FinTech แล้ว นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ Blockchain ถูกนำมาใช้งานเป็นรูปธรรมในฝั่งผู้ใช้ทั่วไป เท่ากับว่าตอนนี้มีธนาคารใหญ่ 2 รายคือ SCB และ KBank ที่นำ Blockchain มาเริ่มต้นให้ใช้งานกันแล้ว
การที่ SCB เลือกใช้ Blockchain ของ Ripple ที่ถือเป็น Private Blockchain รายใหญ่ของโลก ซึ่ง DV ได้เข้าไปลงทุนด้วย เช่นเดียวกับ SBI Remit ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยทาง SBI ได้ลงทุนกับ Ripple ด้วยเช่นเดียวกัน
เป็นรูปแบบพันธมิตรผ่านการลงทุนใน Ripple ด้วยกัน ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดพันธมิตรอื่นๆ ผ่าน Ripple จึงเป็นไปได้แน่นอน
ส่วนการให้บริการรับโอนเงินจากญี่ปุ่นมาไทยผ่าน Blockchain ทาง SCB ได้ทดสอบระบบใน Regulatory Sandbox ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และได้รับอนุญาตนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านเทคโนโลยี Blockchain มาให้บริการเชิงพาณิชย์ได้
สรุป
Blockchain กำลังเริ่มแสดงผลให้เห็น โดย SCB เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานจริง โดยผู้บริโภคไม่ต้องรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร รู้แค่ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้บริการโอนเงินเร็วขึ้น และยังปลอดภัยเหมือนเดิม ซึ่งอนาคตน่าจะมีบริการอื่นๆ ตามออกมาอีกและเข้ามาแทนที่ของเทคโนโลยีเดิมๆ แบบผู้ใช้ไม่ต้องรู้ตัว แม้การโอนเงินไปต่างประเทศยังใช้ไม่ได้ (ตอนนี้มีแค่ขาเข้าขาเดียว) แต่อย่างน้อยในฐานะผู้รับเงิน เราก็ได้ใช้ Blockchain กันแล้ว
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา