กลยุทธ์โรงแรมในเครือสิงห์ เอสเตท: โรงแรมใหม่ต้องหรู เข้าถึงได้ ไลฟ์สไตล์ดี ถ่ายรูปสวย

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โรงแรม คือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ แม้ในช่วงนี้จะยังไม่ฟื้นตัวเนื่องจากการท่องเที่ยวยังคงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ แต่ S Hotels & Resorts บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท กลับเลือกที่จะเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ถึง 6 แห่ง ภายใต้กลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในยุคโควิด-19

ปัจจุบัน S Hotels & Resorts บริษัทในเครือ สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) มีโรงแรมอยู่ในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด 39 แห่ง 4,647 ห้อง ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ มัลดีฟส์ ฟิจิ มอริเชียส และไทย มีทั้งที่ S Hotels & Resorts เป็นเจ้าของเอง และการเข้าไปเป็นพันธมิตร

เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร S Hotels & Resorts

เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร S Hotels & Resorts ได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการทำธุรกิจภายใต้ความท้าทายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการโรงแรม ในยุคที่โควิด-19 ระบาดว่า S Hotels & Resorts มีกลยุทธ์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสำคัญ ได้แก่

  • Upscale Positioning กลุ่มแรกเน้นตลาดโรงแรมในระดับบน แต่ยังคงมีความเข้าถึงง่าย โดยมีมาตรฐานความสะอาด และความปลอดภัยสูง
  • Leisure Segment Resorts & Style Hotels เป็นกลุ่มที่เน้นการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนกับครอบครัว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และความเป็นไลฟ์สไตล์ ไม่ได้เน้นโรงแรมเพื่อการธุรกิจ เพราะเป็นกลุ่มที่จะมีการกลับมาเดินทางท่องเที่ยวได้เร็วที่สุด เพราะคนทั่วๆ ไป อยากเดินทางท่องเที่ยว ต่างจากการเดินทางเพื่อธุรกิจ ที่จะกลับมาช้ากว่า
  • Diversified Portfolio คือ การกระจายธุรกิจให้มีคามหลากหลายมากขึ้น การกระจายตัวของโรงแรมในหลายๆ ประเทศ เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว

โดยเป้าหมายของ S Hotels & Resorts ในปี 2025 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า คือ การสร้างความเติบโตของโรงแรมในเครือ ที่ปัจจุบันมี 39 แห่ง 4,647 ห้อง เป็น 82 แห่ง 9,000 ห้อง งบประมาณการลงทุนราว 1,000-2,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะมีทั้งโรงแรมที่เป็นเจ้าของ และการเป็นพาร์ทเนอร์ในลักษณะเข้าไปบริหารงาน

นอกจากนี้แล้ว S Hotels & Resorts ยังจะวางแผนเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ในประเทศไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต โดยโรงแรมแห่งใหม่นี้จะแบ่งออกเป็น 2 แบรนด์ คือ SAii (ทราย) และ Nabor (เนเบอร์)

ทั้งสองโรงแรมจะมีคอนเซ็ปที่ต่างกัน คือ SAii จะเป็นแบรนด์ระดับบนแต่เข้าถึงได้ง่าย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เน้นการถ่ายภาพลง Social Media หรือ Instagramable มีประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่โดยรอบ โดยโรงแรมแบรนด์ SAii มีแผนที่จะเปิดให้บริการในประเทศไทยสองแห่ง คือ SAii Launa ภูเก็ต และ SAii พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564

ส่วนโรงแรมอีกแบรนด์คือ Nabor จะเป็นโรงแรมที่เน้นความเป็นดิจิทัล ทำทุกอย่างด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชันตั้งแต่จองที่พัก เช็คอิน เปิดประตูห้องผ่านกุญแจดิจิทัล และเช็คเอ้าท์ โดยจะมีการเปิดโรงแรมแบรนด์ Nabor ในประเทศไทยที่เกาะสมุย ในไตรมาส 2 ปี 2564 และในอนาคตจะมีการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ใน เชียงใหม่ กรุงเทพฯ หัวหิน และภูเก็ต รวมถึงในต่างประเทศทั้งในภูมิภาคอาเซียน และเอเชียด้วย

สถานการณ์ธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ

เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ เล่าถึงสถานการณ์ในประเทศที่ S Hotels & Resorts มีโรงแรมให้บริการว่ามีความต่างกันไปตามแต่ละประเทศ

  • มัลดีฟส์ กลายเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้ให้กว่า 40% ในช่วงนี้ เพราะมัลดีฟส์มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเข้าพัก 70-75%
  • อังกฤษ แม้สถานการณ์โควิด-19 จะยังคงขึ้นๆ ลงๆ แต่การท่องเที่ยวภายในประเทศมีลักษณะเป็น Staycation ทำให้อัตราการเข้าพักของโรงแรมบางแห่งสูงถึง 80%
  • ฟิจิ หากมีการเปิดประเทศเพื่อรับการท่องเที่ยว ก็มีแนวโน้มที่จะมีนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์เข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศ

ส่วนสถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศไทยเอง เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ มองว่า การท่องเที่ยวในพื้นที่ที่สามารถขับรถไปได้จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่ที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ส่วนด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็มีความต้องการที่จะเดินทางเข้ามาหากมีการเปิดรับนักท่องเที่ยว

โควิด-19 ตัวเร่งการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัล

แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลต่อการท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างมาก การเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ในช่วงเวลานี้นับว่ามีความท้าทายอย่างมาก แต่ความจริงแล้วการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ที่ใช้คอนเซ็ปดิจิทัล ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความเหมาะสม

จากการสำรวจ Digital Consumer ในประเทศไทย พบว่าในช่วงที่โควิด-19 ระบาด มีการเติบโตสูงราว 30% โดยมีวัตถุประสงค์การใช้งานเพื่อการท่องเที่ยวอยู่ในอันดับ 3 โควิด-19 จึงกลายเป็นเหมือนตัวเร่งการเติบโตของ Digital Mindset ที่ดี การเปิดตัวโรงแรมในแบรนด์ Nabor ที่เน้นประสบการณ์แบบดิจิทัลในช่วงเวลานี้จึงนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

กระจายความเสี่ยง รักษากระแสเงินสดในช่วงนี้

นอกจากการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ในประเทศไทยแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ เน้นย้ำ คือ การรักษากระแสเงินสดให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ แต่ก็ยังคาดการณ์ว่าในอนาคตยังมีแนวโน้มการฟื้นตัว และเติบโตได้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป ที่พร้อมท่องเที่ยว เมื่อมีการเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา