ราคาเร้าใจ รอยัล เอนฟิลด์ ส่ง เมทธีออร์ 350 เริ่มต้น 1.5 แสน ยกไทยเป็นฮับส่งออกทั่ว APAC

รอยัล เอนฟิลด์ มั่นใจในการลงทุนในไทย เปิดโรงงานประกอบรถมอเตอร์ไซค์เต็มรูปแบบ แล้วเสร็จกลางปีหน้า หวังเป็นฮับการส่งออกทั่วเอเชีย แปซิฟิก ล่าช้าเพราะพิษโควิด-19 พร้อมเปิดตัว เมทธีออร์ 350 (meteor 350) อีซี่ ครุซเซอร์ใหม่ เป็นประเทศที่ 2 ของโลกหลังจากอินเดีย เคาะราคาขายถล่มตลาดมอเตอร์ไซค์นาดกลาง เริ่มต้นเพียง 150,000 บาท

Meteor 350

ตลาดรถกลางโตสวนกระแส

มร. วิมัล ซุมบ์ลี หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก รอยัล เอนฟิลด์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ ยอดขายของตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดจดทะเบียนโดยรวมของไทย โดยเฉพาะไตรมาส 2 ของปีนี้ ลดลง 30% โดยเฉพาะกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก (150-250 ซีซี) และกลุ่มมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ (เกิน 750 ซีซี) ที่ได้รับผลกระทบหนัก แต่กลุ่มมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250–750 ซีซี) จากตัวเลขจดทะเบียนพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2563 โตขึ้น 2% เฉพาะรอยัล เอนฟิลด์ โต 71% มีส่วนแบ่งการตลาดรถกลุ่มนี้ 5.4% โดย รอยัล เอนฟิลด์ มียอดขายรวมนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกที่ไทย 9,000 คัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่เป็นช่องทางของการเติบโตของตลาดในไทย

“ด้วยสไตล์รถของรอยัล เอนฟิลด์ ที่คนทั่วโลก และไทยชื่นชมคือการนำรถไปคัสตอม หรือดัดแปลงได้หลากหลายรูปแบบ ได้หลากหลายสไตล์ ทำให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม หรือสร้างสรรค์การออกแบบได้อย่างเต็มที่ และวัฒนธรรมของ รอยัล เอนฟิลด์ ที่มีส่วนร่วมได้ง่าย ทำให้คนที่ซื้อรถทุกรุ่นสามารถร่วมขับขี่ ออกทริปด้วยกัน”

สำหรับยอดจำหน่าย รอยัล เอนฟิลด์ ตั้งแต่มกราคม – ตุลาคม ปีที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียน 1,644 คัน และเทียบช่วงด้วยกันในปีนี้ มียอดจดทะเบียนมากถึง 2,810 คัน โตขึ้น 70%

Meteor 350
มร. วิมัล ซุมบ์ลี หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก รอยัล เอนฟิลด์

ยกไทยเป็นฮับส่งออกทั่ว APAC

รอยัล เอนฟิลด์ มีฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่อินเดีย และสหราชอาณาจักร สำหรับประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตอันดับที่ 3 ที่จะมีโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์รอยัล เอนฟิลด์ ผลิตป้อนสู่ตลาดไทย และส่งออกทั่วเอเชีย แปซิฟิก โดยโรงงานของรอยัล เอนฟิลด์ในไทยนั้น เป็นโรงงานเดิมที่รับผลิตรถจักรยานยนต์แบรนด์อื่นอยู่แล้ว โดยโรงงานประกอบรถที่ไทยเป็นฐานการผลิต จะผลิตรถทุกรุ่นป้อนสู่ตลาด คาดว่าจะเริ่มสายการผลิตช่วงกลางปี 2564

“สาเหตุที่เราเลือกไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วเอเชีย แปซิฟิกนั้น เนื่องจากด้วยของ Supplier ที่ผลิตชุดประกอบรถส่วนต่างๆ มีฝีมือ ได้มาตราฐาน และได้รับการยกเว้นด้วยเรื่องของภาษีต่างๆ ที่สำคัญไทยอยู่ในความร่วมมือ Free Trade Area หรือเขตการค้าเสรี (FTA) ที่จะเอื้อการส่งออกไปตลาดสำคัญๆ ที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม รวมไปถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย สำหรับไทยคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการประมาณ 3,500 คัน ส่วนที่เกินจากการผลิตจะส่งออกไปยังต่างประเทศ”

รอยัล เอนฟิลด์มีศักยภาพของตลาดที่เติบโดยสูงมาก โดยไทยมียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจาก อินเดีย จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม โดยไทยคาดการณ์ว่าจะโต 5-10% จากปัจจัยด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางจากเดิมเดินทางด้วยรถสาธารณะเป็นหลัก แต่ช่วงโควิต-19 ระบาด จึงเปลี่ยนมาใช้รถส่วนตัว รวมไปถึงคาดการณ์การปรับอัตราค่าแรงค่าจ้างขึ้นในอนาคต ก็จะทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น

เปิดตัว เมทธีออร์ 350 เขย่าตลาดรถขนาดกลาง

รอยัล เอนฟิลด์ เปิดตัว เมทธีออร์ 350 (meteor 350) รถมอเตอร์ไซค์ครุซเซอร์ใหม่ ถือว่าไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่เปิดตัวนอกประเทศอินเดีย ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยทีมวิศวกรรมจากศูนย์รอยัล เอนฟิลด์ในเมืองเชนไน รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย และเมืองบรันติงธอร์ป สหราชอาณาจักร

เมทธีออร์ 350 เหมาะสำหรับการขับขี่แบบคล่องตัวในเมือง และเดินทางระยะไกล มั่นใจด้วยเครื่องยนต์ขนาด 349 ซีซี 20.2 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตร ที่ 4000 รอบต่อนาที และแชสซีคิดค้นขึ้นมาใหม่ พร้อมให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ วางจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่น ทั้งหมด 7 สี

  • ไฟร์บอลล์ (Fireball) มีให้เลือกทั้งสีแดงและสีเหลือง ราคา 150,000 บาท
  • สเตลลาร์ (Stellar) มีให้เลือกทั้งสีแดงร่วมสมัย สีน้ำเงิน และสีดำด้าน ราคา 155,000 บาท
  • ซูเปอร์โนวา (Supernova) มีให้เลือก 2 สี คือสีน้ำตาลและสีฟ้าทูโทน ราคา 159,500 บาท

นอกจากนี้ยังมั่นใจด้วยการรับประกัน 3 ปี และศูนย์บริการ และสโตร์ในประเทศไทยที่ตอนนี้มีทั้งหมด 30 แห่ง แบ่งเป็นเอ็กซ์คลูซีฟสโตร์ 15 แห่ง และศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองอีก 15 แห่ง และเตรียมขยายสโตร์แบรนด์รอยัล เอนฟิลด์เป็นทั้งหมด 36 แห่ง ทั่วประเทศ ภายในปี 2564

“เมทธีออร์ 350 ถือเป็นรถขนาดกลางที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีมากกับผู้บริโภคชาวไทย ด้วยเรื่องของราคาที่จับต้องง่าย เริ่มต้น 150,000 บาท และพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทยและคนอินเดียมีความคล้ายคลึงกัน ชอบรถแนวคลาสสิค ซึ่งกลุ่มคนเป้าหมายของเราอยู่ในอายุ 20-50 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กว้างมาก อย่างหากเป็นกลุ่มคนช่วง 20 ปี ก็จะเป็นการอัพเกรดรถที่มีซีซีสูงขึ้น ส่วนกลุ่มคนที่มีช่วงอายุ 40-50 ปีจะเป็นช่วงคนที่ต้องการหาประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก เป็นรถคันรองที่มีใช้อยู่แล้ว”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

คนไอที อยู่วงการเทเลคอมมา 10 ปี ผันตัวมาทำสิ่งใหม่ๆ แล้วก็เริ่มสนุกกับมัน!