ศึกษา 4 ธุรกิจค้าขายนำ AI ต่อยอดการเติบโต พร้อมหลุดพ้นจาก Retail Apocalypse

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป หลังจากกลุ่มธุรกิจค้าขายเริ่มนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาสร้างธุรกิจให้เติบโต พร้อมหลุดพ้นจากยุค Retail Apocalypse ซึ่งนี่คือ 4 ธุรกิจที่น่าศึกษาในการนำ AI มาใช้งาน

Starbucks Debuts Voice Ordering | Starbucks Newsroom

Starbucks

Starbucks เริ่มเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค และเปิดให้ลูกค้าสั่งสินค้าจากภายนอกร้าน ก่อนที่จะเลือกสาขาในการไปรับเครื่องดื่มที่สั่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกควบคุมโดย AI หรือระบบปัญหาประดิษฐ์ภายใน Application ที่ชื่อว่า My Starbucks Barista เพียงแค่เปิด Application และกดปุ่มเพื่อพูดเครื่องดื่มที่ต้องการเข้าไป ตัวระบบก็จะประมวลเสียงเป็นคำสั่ง และส่งไปยังสาขาที่ใกล้เคียงเพื่อทำเครื่องดื่มเอาไว้

ซึ่งการเปิดให้สั่งเครื่องดื่มจากอกร้าน ทำให้ลดปัญหาการเข้าคิวเพื่อไปสั่ง และชำระเงิน โดยปัจจุบันการชำระเงินผ่าน Smartphone ของ Starbucks ในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 25 ของรูปแบบการชำระเงินทั้งหมด มากกว่านั้น 2 ใน 3 ของผู้สมัครสมาชิกกับ Starbucks กว่า 8 ล้านราย ต่างใช้ Application ในการชำระเงินอย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน และ 1 ใน 3 ของจำนวนนี้ใช้วิธีการสั่งสินค้าจากนอกร้าน ทำให้ลดปัญหาการเข้าคิวได้มาก

Cosabella

แบรนด์ชุดชั้นใน Cosabella ใช้ AI ในการทำการตลาดรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจ และความเข้าใจของสินค้าแก่ผู้บริโภค ภายใต้แพลตฟอร์ม Emarsys ตั้งแต่เดือนต.ค. 2559 ซึ่งตั้งแต่วันนั้น ตัวแบรนด์ก็มีผู้สมัครรับข่าวสารทางอีเมลเพิ่มขึ้นทันที และสร้างยอดขายจากช่องทางนี้เพิ่มถึง 60% แสดงให้เห็นการตลาดอย่างถูกต้องในการสร้างการขายจาก Online สู่ Offline ได้อย่างดี

สำหรับ Emarsys คือระบบ AI ที่จะส่งส่วนลดเฉพาะบุคคลไปยังผู้ที่สมัครสมาชิกรับข่าวสารทางอีเมล และอิงจากพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าตามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งเมื่อยิงส่วนลดถูกจุด โอกาสที่จะขายสินค้าไปให้ผู้บริโภคที่ตรงกันก็มีสูง และนั่นเท่ากับการยอมลดราคาเพียงเล็กน้อย เพื่อสร้างยอดขายเพิ่ม แถมอาจได้มากกว่าแค่สินค้าลดราคาจากผู้บริโภค ก็ทำให้การลงทุนระบบครั้งนี้คุ้มค่าเลยทีเดียว

Lowe’s

กลุ่มผู้ขายสินค้าเกี่ยวกับที่พักอาศัยก็สามารถลงทุนในเรื่อง AI ได้เช่นกัน อย่าง Lowe’s ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจนี้ก็ใช้หุ่นยนต์ในการตรวจจับการใช้บริการภายในสาขามากว่า 2 ปี ภายใต้ชื่อ LoweBot เพื่อช่วยให้ผู้เข้ามาใช้บริการสามารถหาสินค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่ง LoweBot แต่ละตัวจะมีหน้าที่ตอบคำถามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ต้องการอยู่ที่ไหน รวมถึงการออกแบบในพื้นที่ต่างๆ และตัวหุ่นยนต์ก็จะตอบกลับมาเป็นภาษาเหมือนที่มนุษย์ใช้พูดกันอยู่จริงๆ

นอกจากนี้ตัว LoweBot ยังติดตั้งอุปกรณ์สแกนสินค้าแบบสามมิติ ทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ใช้งานภายในสาขาได้อย่างดียิ่งขึ้นด้วย มากกว่านั้นตัวหุ่นยนตืยังช่วยพนักงานภายในสาขาบริหารสต๊อกสินค้าได้ดียิ่งขึ้น เพราะเวลามีลูกค้ามาสอบถามสินค้า ตัวหุ่นยนต์ก็จะเข้าไปสแกนตามเชลฟ์วางต่างๆ และเมื่อสินค้านั้นหายไป ก็จะแจ้งแผนกสต๊อกให้เติมสินค้าในทันทีอีกด้วย

ภาพโดย SounderBruce (Own work) [CC BY-SA 4.0 (http://creativecommons.org/licenses/by-sa/4.0)], via Wikimedia Commons

Amazon

Amazon Go ร้านจำนหน่ายอาหาร และของใช้ภายในบ้านของกลุ่ม Amazon ที่ใช้ AI ในการบริหารจัดการทั้งหมด และยกเลิกรูปแบบเดิมของร้านค้า ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนา AI มาใช้งาน ผ่านการใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ ติดตามการหยิบสินค้าของผู้บริโภคจากชั้นวางต่างๆ และสินค้าเหล่านั้นจะถูกบรรจุใส่ใน Virtual Cart หรือตะกร้าจำลองใน Application ของ Amazon Go และจะคิดเงินอัตโนมัติเมื่อลูกค้าเดินออกจากร้านไปแล้ว

ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดการเเชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Deep Learning, Sensor Fusion และ computer Vision โดยปัจจุบันมีสาขา Amazon Go อยู่ 1 แห่งที่ Seattle และทาง Amazon ก็มีแผนที่จะเปิดกว่า 2,000 สาขา หากเทคโนโลยีนี้เดินหน้าไปด้วยดี

อ้างอิง // Inc.

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา