ผลวิจัยชี้ จีนเตรียมแซงหน้าสหรัฐฯ ขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าแน่นอน ปี 2028

ผลวิจัยจาก Centre for Economics and Business Research ระบุว่า ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่แซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ภายในปี 2028 เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปีก่อนถึง 5 ปี

Xi Jinping (สี จิ้นผิง) Joe Biden (โจ ไบเดน)
LOS ANGELES, CA–February 17, 2012–U.S. Vice President Joe Biden and Chinese Vice President Xi Jinping participated in a governor’s luncheon, at Disney Hall, in downtown Los Angeles, Feb. 16, 2012. (Jay L. Clendenin/Los Angeles Times)

เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้เร็วจากผลกระทบกระทบโควิด-19 ระบาด ทำให้ปี 2020 มีเศรษฐกิจเติบโต 2% ขณะที่สหรัฐอเมริกานั้น ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจหดตัวอยู่ที่ 5% โดยรวมแล้วจีดีพีโลกปีนี้น่าจะลดลงอยู่ที่ 4.4% 

Douglas McWilliams รองประธาน CEBR กล่าวว่า ข่าวใหญ่ของการคาดการณ์ตอนนี้คือความเร็วจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจจีนห้าปี (2020-2025) คาดว่าจีนจะกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจรายได้ระดับบนได้ (ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนอยู่ในขั้นปานกลางระดับบน ระดับเดียวกับไทย) และคาดว่าจะแซงสหรัฐฯได้ด้วย

ปี 2000 เศรษฐกิจจีนคิดเป็นสัดส่วน 3.6% ของจีดีพีโลก แต่ในปี 2019 เพิ่มขึ้นมาถึง 17.8% เป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและคิดว่ารายได้ต่อหัวจะเพิ่มเป็น 12,536 เหรียญสหรัฐได้ และจะกลายเป็นประเทศรายได้ระดับสูงภายในปี 2023 อย่างไรก็ดี มาตรฐานการดำรงชีวิตในจีนยังอยู่ระดับต่ำกว่าสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ในยุโรปค่อนข้างมาก ในสหรัฐฯ มีรายได้ต่อหัวอยู่ที่กว่า 63,000 เหรียญสหรัฐ ขณะที่อังกฤษกว่า 39,000 เหรียญสหรัฐ

Boris Johnson บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ภาพจาก Boris Johnson นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ทั้งนี้ CEBR กล่าวว่า การออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ทำให้ในอีก 15 ปีข้างหน้า อังกฤษอาจจะไม่สามารถประคองสถานะประเทศเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกเหมือนอย่างปี 2020 ได้อีกต่อไป มีการคาดการณ์ว่า อังกฤษจะเติบโตต่อปีอยู่ที่ 4% ช่วงปี 2021-2025 และจะเติบโตเพียง 1.8% ต่อปีนับจากปี 2026-2030 และจะเติบโตอัตราเดียวกันนี้จนถึงปี 2035

อังกฤษเคยถูกประเมินว่าจะถูกเศรษฐกิจของอินเดียแซงหน้าได้ภายในปี 2024 และคาดว่าอินเดียซึ่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้ภายในปี 2035

นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเริ่มส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก หลายประเทศจะวางแผนเปลี่ยนมาปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์เร็วขึ้นในทศวรรษถัดไป ทำให้ความต้องการพลังงานฟอสซิลลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันตกต่ำ ราคาน้ำมันดิบจะต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐในปี 2035 

ที่มา – The Guardian

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา