Netflix พร้อมฆ่าบริการดูหนังออนไลน์ท้องถิ่น ส่งพากย์-ซับ-เมนูไทย ขยายฐานผู้ใช้

หลังจากเริ่มให้บริการในไทยตั้งแต่ต้นปี 2559 แต่ไม่ได้ทำการโปรโมทอะไรนัก ล่าสุด Netflix ยักษ์ใหญ่บริการรับชมภาพยนตร์ออนไลน์ก็ประกาศรุกตลาดไทยเต็มตัวแล้ว

ทำตลาดไทย ทุกอย่างต้องไทย

หากยังจำกันได้ เมื่อต้นปี 2559 มีข่าวการเปิดให้บริการของ Netflix ในประเทศไทย และสร้างความตื่นตัวในธุรกิจบริการรับชมภาพยนตร์ออนไลน์พอสมควร เพราะหลังจากนั้นผู้เล่นในตลาดกว่า 5 รายก็ส่งโปรโมชั่นต่างๆ ออกมารับน้องอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความไม่พร้อมเรื่องภาษา โดยเฉพาะ Subtitle (คำบรรยาย) กลุ่มผู้ใช้จึงมีไม่มาก

ประกอบกับด้วยปัญหานี้ ทำให้ Netflix ตัดสินใจไม่เปิดตัว หรือทำแคมเปญใดๆ เพื่อดึงผู้ใช้บริการเข้ามาในระบบ เนื่องจากต้องการ Localize หรือการทำเมนู รวมถึงมีคำบรรยาย และพากย์เป็นภาษาไทย เพื่อรับกับพฤติกรรมการรับชมของคนไทยได้ทุกรูปแบบ ทำให้ผู้ใช้ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว และเมื่อพร้อม การทำแคมเปญต่างๆ ก็เกิดขึ้น

อย่างเมื่อปลายเดือนก.พ. Netflix ได้ประกาศเป็นพาร์ทเนอร์กับ AIS เพื่อร่วมกันทำตลาดเป็นรายแรก และรายเดียวในประเทศไทย แต่จะออกมาในรูปแบบราคาพิเศษหรือไม่อันนี้ต้องติดตามกัน นอกจากนี้ยักษ์ใหญ่บริการรับชมภาพยนต์ออนไลน์ยังเตรียมหาพาร์ทเนอร์ด้านอื่น เพื่อทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดด้วย

การใช้งานที่เป็นภาษาไทยของ Netflix

Content 1,000 ชม. รับชมได้หลากหลาย

Scott Mirer Device Partner Ecosystem ของ Netflix เล่าให้ฟังว่า Content ทั้งภาพยนตร์, ซีรีส์ รวมถึงสารคดี จะมีคำบรรยายไทย และพากย์ไทยในบางรายการ รวมจำนวนกว่า 1,000 ชม. เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึง Content เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น และช่วยลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทยได้

ประกอบกับรูปแบบการรับชมที่หลากหลาย หรือตั้งแต่ Smartphone, Tablet, หน้าจอ Computer, เครื่องเกม Console และ Smart TV รวมถึงการใส่เทคโนโลยี HDR และเร่งความคมชัดได้สูงสุดถึง 4K จึงแตกต่างกับผู้เล่นรายอื่น ที่สำคัญ Netflix ยังให้ความสำคัญในตลาดไทย เพราะมีฐานผู้ใช้บริการเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

ค่าบริการ/เดือนของ Netflix เริ่มต้นที่ 280-420 บาท

ลงทุนระบบ พร้อมผลิต Content เอง

สำหรับการลงทุน Netflix ใช้เงินไปกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการซื้อ Content เข้ามาในระบบ และอีก 1,000 ล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการรับชม ที่สำคัญยังลงทุนผลิต Content เองเพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น โดยปัจจุบันมีกว่า 400 เรื่องที่ผลิตเองแล้ว

สรุป

เมื่อการรับชมภาพยนตร์ และซีรีส์ต่างๆ มีความสะดวกมากขึ้น ประกอบกับค่าบริการก็ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก ดังนั้นการละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทยก็น่าจะหายไปซักที ส่วนถ้าให้มองในมุมการแข่งขัน เชื่อว่าหลังจากนี้สนุกแน่ เพราะเมื่อรายใหญ่ระดับโลกลงมาเล่นเอง ผู้เล่นท้องถิ่น รวมถึงผู้เล่นระดับอาเซียนอย่าง iflix ก็คงต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ มาลุย

ทั้งนี้ Netflix ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกกว่า 100 ล้านคน ใน 190 ประเทศที่เข้าไปทำตลาด และมีการรับชม Content ต่างๆ ในระบบกว่า 125 ล้านชม./วัน ที่สำคัญ CEO ของ Netflix ยังบอกว่าคู่แข่งสำคัญไม่ใช่ผู้เล่นในตลาด แต่คือเวลานอนของผู้บริโภค

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา