ดราม่า Black Widow: สมาคมโรงหนังไม่พอใจที่ Disney เอาหนังมาฉายสตรีมมิ่งชนโรง กระทบรายได้เสียหายหลายล้าน

ถ้าไม่ลงสตรีมมิ่ง ฉายโรงอย่างเดียว รายได้จะมากกว่านี้?

หลังจากที่ Black Widow เปิดตัวในสัปดาห์แรกและทำเงินในโรงหนังไป 80 ล้านดอลลาร์ ส่วนใน Disney+ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทำรายได้ไปถึง 60 ล้านดอลลาร์

ผ่านไปเพียง 1 สัปดาห์ ดราม่าก็บังเกิด เพราะรายได้ของ Black Widow ในโรงหนังลดต่ำลงมาอยู่ที่ 26.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราที่ลดลงถึง 67%

สมาคมผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์แห่งชาติ หรือ National Association of Theater Owners (NATO) มีสมาชิกโรงภาพยนตร์ว่า 3 หมื่นโรงในกว่า 50 มลรัฐทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์พูดถึงการที่สตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ส่งผลกระทบต่อวงการโรงภาพยนตร์จากภาพยนตร์เรื่อง Black Widow

“ถ้าไม่เอา Black Widow ไปฉายสตรีมมิ่ง อย่างน้อยๆ สัปดาห์แรกน่าจะทำรายได้แตะ 92-100 ล้านดอลลาร์” สมาคมโรงหนังให้ข้อมูล

สมาคมโรงหนังบอกว่า ในยุคก่อนหน้าโควิด Disney เคยทำสัญญากับโรงหนังไว้ว่า จะเข้าโรงในระยะเวลาหนึ่งก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยนำมาฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตนเอง วิธีการนี้ทางสมาคมมองว่า ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย แต่รอบนี้ Disney กลับไม่ทำแบบเดิม

ทางสมาคมบอกว่า Disney คือคนที่ทำให้รายได้ของวงการโรงหนังและวงการภาพยนตร์หายไป “ทั้งจากการที่นำมาฉายในสตรีมมิ่งแบบชนโรง และเราก็รู้กันว่า ผู้บริโภคสามารถแบ่งบัญชีกันเข้าดูภาพยนตร์ในสตรีมมิ่งได้”

ถึงที่สุดแล้ว “Disney ทำให้รายได้ของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ที่ควรจะทำได้ หายไปตลอดกาล”

Black Widow แบล็ค วิโดว์ Marvel Studios
Black Widow แบล็ค วิโดว์ Marvel Studios

ฉายหนังแบบไฮบริดอาจเป็นคำตอบของ Disney แต่คนอื่นในวงการตายหมด

Black Widow เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่เล่าเรื่องของหนึ่งในตัวละคร Marvel อย่างสายลับสาว “นาตาชา โรมานอฟฟ์” ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องแรกของเธอที่มีภาคแยก รวมถึงเป็นหนังใหม่ของค่ายในรอบกว่า 2 ปี แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ Disney เตรียมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายเจอภัยโรคระบาด จึงต้องเลื่อนฉายมาร่วมกว่า 1 ปี (แผนเดิมคือฉายปี 2020)

กระบวนท่าที่ Disney ทำเมื่อถึงเวลาต้องฉายคือ “การฉายหนังแบบไฮบริด”

การฉายหนังแบบไฮบริดในที่นี้หมายถึง การนำเอาภาพยนตร์ของค่ายตัวเองฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเองแบบชนโรง

ประเด็นคือ การฉายหนังแบบไฮบริดอาจทำให้ Disney รอด (เพราะโกยรายได้ในสัปดาห์แรกใน Disney+ ไปสูงถึง 60 ล้านดอลลาร์) แต่สำหรับคนทำธุรกิจโรงหนัง หนังม้วนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่อง

อย่างไรก็ตาม Black Widow เป็นหนังของ Marvel ที่ทำรายได้ในสัปดาห์ที่ 2 อย่างชนิดที่อาการหนักหนาสาหัสที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel ก่อนหน้านี้ Spider-Man: Homecoming และ Ant-Man and the Wasp ก็แย่เหมือนกันในสัปดาห์ที่ 2 ของการทำรายได้ เพราะรายได้ลดลงจากสัปดาห์แรกถึง 62% ในขณะที่ Black Widow ลดลงไปถึง 67%

  • ชวนฟังข้อถกเถียงเรื่อง “โรงหนัง vs. สตรีมมิ่ง” ใครจะเป็นผู้ชนะในศึกภาพยนตร์ จาก Brand Inside TALK

Black Widow ลงสตรีมมิ่ง Disney+ แต่ไม่ใช่ Hotstar

หนังใหม่อย่าง Black Widow ที่ฉายใน Disney+ ลูกค้าจะต้องจ่ายค่า premium access ในราคา 30 ดอลลาร์เพื่อชมภาพยนตร์ (ฟีเจอร์และราคาแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ราคาที่ยกมานี้คือราคาในตลาดสหรัฐอเมริกา)

ส่วน Disney+ Hotstar ในประเทศไทย เท่าที่สำรวจดู ยังไม่พบว่ามีฟีเจอร์ premium access คือลูกค้าไม่สามารถจ่ายเงินเพิ่มในราคาพิเศษเพื่อดูหนังใหม่ได้ คงต้องรอต่อไปว่า Disney+ Hotstar จะนำ Black Widow มาฉายเมื่อไหร่

อย่างไรก็ตาม สำหรับดราม่า Black Widow ทางด้านของ Disney ยังไม่ได้ออกมาตอบโต้ต่อแถลงการณ์ของทางสมาคมสมาคมผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์แต่อย่างใด

ที่มา – CNBC, Gizmodo, Collider, The Atlantic

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา