ไม่ใช่แค่รองเท้านักเรียน เพราะ “นันยาง” คือ Functional Shoes ที่ใส่ได้ทุกสถานการณ์

สินค้ารองเท้านักเรียนเป็นตลาดที่ใครๆ ก็อยากเข้ามา เพราะในประเทศไทยมีนักเรียนกว่า 15 ล้านคน และตัวผลิตภัณฑ์ก็ไม่ได้ทำยาก แล้วทำไม “นันยาง” ถึงยืนหยัดทำธุรกิจนี้มาได้นานถึง 60 กว่าปีได้

รองเท้านันยางรุ่น 121-N

เน้น Function ไม่ Fashion

แม้รองเท้านักเรียน โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบนักเรียนชาย ไม่สามารถแฟชั่นอะไรได้มากอยู่แล้ว ดังนั้นการเน้นเรื่อง Function ในการใช้งานจึงเป็นเรื่องจำเป็น นอกจากการแข่งขันเรื่องราคา และคุณภาพของวัสดุในการผลิต ซึ่งจุดนี้นันยางสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างดี สังเกตจากการคงคุณสมบัติเดิมของรองเท้าไว้ตั้งแต่รุ่นพ่อ

จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด เล่าให้ฟังว่า ความเป็น Functional หรือใช้ใส่ร่วมกับกิจกรรมใดๆ ก็ได้ของรองเท้าผ้าใบนันยาง ทำให้บริษัทสามารถเติบโตมาได้อย่างยั่งยืน และมีส่วนแบ่งในตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนถึง 41% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด

เป็นมากกว่ารองเท้านักเรียน

“นันยางเกิดมาแล้ว 60 กว่าปี และรองเท้าผ้าใบรุ่น 205-S หรือรุ่นพื้นเขียวที่เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ ก็ยังคงจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน และก็ไม่ได้มีแค่นักเรียนที่ใส่ ยังมีกลุ่มแรงงานที่นิยมใช้รองเท้าของเราเช่นกัน แต่เราก็พัฒนาสินค้าใหม่ต่อเนื่อง โดยยึดความเป็น Functional และตอบโจทย์กลุ่มอื่นๆ ที่ยังไม่ใส่รองเท้าของเรา”

ปัจจุบันรองเท้าผ้าใบนันยางมี 4 รุ่นคือ 205-S ด้านหน้าเป็นยาง พื้นเขียว, 121-N ด้านหน้าเป็นผ้า พื้นแบบดั้งเดิม, Sugar รองเท้าผ้าใบสำหรับผู้หญิง มีจุดเด่นเรื่องถูกระเบียบแบบสวยงาม และ Have Fun รองเท้าสำหรับเด็ก 6-9 ปี ซึ่ง 2 กลุ่มหลังเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อดึงกลุ่มผู้หญิง และเด็กที่ยังไม่ใช้สินค้าของบริษัทมากนัก

นันยางรุ่น Sugar

5,000 ล้านบาทอันหอมหวาน

สำหรับตลาดรองเท้านักเรียนปัจจุบันมีมูลค่าทั้งหมด 5,000 ล้านบาท แทบไม่มีการเติบโต แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบ 60% และที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นรองเท้าหนังนักเรียนหญิง ส่วนรองเท้าหนังนักเรียนชายมีสัดส่วนที่น้อยมาก โดยกลุ่มนักเรียน 15 ล้านคนนั้น ผู้ปกครองจะซื้อรองเท้าให้เฉลี่ย 1.3 คู่/ปี

ส่วนนันยางปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5% พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนเป็น 42% ครองเบอร์หนึ่งอย่างต่อเนื่อง ผ่านการลงทุน 100 ล้าน แบ่งเป็น 30 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงการผลิต 30,000-50,000 คู่/วัน ให้ดีขึ้น และอีก 70 ล้านบาทจะใช้ไปกับการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ภายใต้แคมเปญ “นันยางทุกก้าวคือตำนาน”

สรุป

สินค้ารองเท้านักเรียนนั้นจะขายได้ดีแค่ช่วงครึ่งปีแรก เพราะเป็นช่วงก่อนเด็กเปิดเทอม หรือ Back to School ดังนั้นคงไม่แปลกที่ทุกแบรนด์จะโหมการตลาดช่วงนี้ เพื่อจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายอยากได้สินค้าของตนเองมากที่สุด ประกอบกับรองเท้านักเรียนซื้อครั้งละปี ดังนั้นการพลาดลูกค้าไป 1 คน เท่ากับสูญเสียรายได้ในปีนั้นจากเด็กคนหนึ่งไปเลย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา