สหรัฐฯ มั่นใจ โลกตื่นแล้ว โลกเปลี่ยนไปแล้วเมื่อเห็นจีนเป็นภัยคุกคาม

นักการทูตอเมริกันระดับสูงพูดถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนที่สะท้อนให้เห็นความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง การพยายามอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ การผิดสัญญาและเปลี่ยนกฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกง การจารกรรมข้อมูล การละเมิดลิขสิทธิ์ และอีกหลายกรณีด้วยกัน การกระทำเช่นนี้ของจีน ทำให้หลายประเทศมองว่าจีนเห็นแก่ตัวพยายามครอบงำโลก ดังนั้น จึงทำให้มีหลายฝ่ายสนับนุนจุดยืนสหรัฐฯ มากกว่าที่จะอยู่ฝั่งเดียวกับจีน 

Secretary Pompeo: President Trump is committed to making sure that we hold China accountable for this virus now destroying hundreds of thousands of lives all across the world and billions of dollars in wealth. We will hold the Chinese Communist Party accountable for that. // U.S. Department of State

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจโลกก็มีแต่เสื่อมกับทรุดลงเรื่อยๆ ทั้ง Mike Pompeo รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ Wang Yi ต่างปะทะฝีปากกันผ่านสื่อตลอด ในที่นี้ก็รวมถึงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน Lijian Zhao และฝั่งสหรัฐฯ ไม่ได้มีแค่ Pompeo เท่านั้น แต่มีทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงไม่ว่าจะเป็น William Baar รัฐมนตรียุติธรรม, Rober C. O’Brien ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ไปจนถึง Christopher A. Wray ผู้อำนวยการ FBI ล้วนดาหน้าออกมาโจมตีจีนต่อเนื่อง 

Mike Pompeo รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวกับ Atlantic Council ซึ่งเป็นสถาบัน think tank ในวอชิงตันว่า โลกได้ตื่นขึ้นแล้ว ในความคิดของเขา สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาคิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลังมากสำหรับมุมมองที่โลกมีต่อภัยคุกคามที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

WASHINGTON, DC – MAY 23: U.S. Secretary of State Mike Pompeo (R) and Chinese Foreign Minister Wang Yi hold a brief news conference in the Benjamin Franklin Room at the State Department’s Harry S. Truman headquarters building May 23, 2018 in Washington, DC. Pompeo is also meeting with German Foreign Minister Heiko Maas and Japanese Foreign Minister Taro Kono later in the day. (Photo by Chip Somodevilla/Getty Images)

Pompeo ยังยืนยันคำเดิมที่เคยกล่าวไว้ว่าจีนมีแรงปรารถนาอยากเป็นมหาอำนาจครอบงำโลกและยังพูดถึง Xi Jinping ว่าเคยพูดถึงการทำให้ชาติทันสมัยขึ้น

Pompeo กล่าวว่า Xi ไม่ได้พูดถึงพรรค แต่กำลังพูดถึงอาณาจักรกลาง ซึ่งมีแกนไอเดียคือความเป็นชาตินิยม ชาตินิยมจีน และแนวคิดมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ที่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครองของจีน และยังพูดถึงความไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ ได้รับมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการค้าไม่เท่าเทียม ความขัดแย้งต่างๆ ที่เคยมีมา ไปจนถึงเทคโนโลยี 5G เป็นต้น

อย่างไรก็ดี รายงานจาก Soft Power 30 index ได้จัดอันดับประเทศที่ติดอันดับจากตัวชี้วัดที่มีรัฐบาล การเกี่ยวพันทางการทูตกับประเทศต่างๆ การศึกษา ความสามารถในการดึงดูดต่างประเทศให้เข้าไปลงทุน วัฒนธรรม การทูตดิจิทัล พบว่าสหรัฐฯ มีอันดับ Soft Power ที่ตกต่ำลง

  • สหรัฐฯ: ปี 2015 อันดับที่ 3, ปี 2016 อันดับที่ 1, ปี 2017 อันดับที่ 3, ปี 2018 อันดับที่ 4, ปี 2019 อันดับที่ 5
  • จีน: ปี 2015 อันดับที่ 30, ปี 2016 อันดับที่ 28, ปี 2017 อันดับที่ 25, ปี 2018 อันดับที่ 27, ปี 2019 อันดับที่ 27

ถ้าเทียบการจัดอันดับของทั้งสองประเทศย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2015 จะเห็นว่า สหรัฐฯ อยู่อันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็มีอันดับที่ลดต่ำลงต่อเนื่อง หมายความว่าอำนาจที่เป็น Soft power ของสหรัฐฯ​ ค่อยๆ เสื่อมถอยลงภายใต้การนำของผู้นำประเทศ ขณะที่จีนนั้น อยู่ในอันดับที่ต่ำต่อเนื่อง แต่ค่อยๆ พัฒนาดีขึ้นและเริ่มตกต่ำเช่นเดิมในปี 2018-2019 เช่นกัน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งกับหลากหลายประเทศทั้งจีนและสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ ผลสำรวจจาก Pew Research ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมายังพบว่า 13 ประเทศในยุโรป เอเชีย และอเมริกาเหนือ 15% เชื่อว่าสหรัฐฯ จัดการโรคระบาดได้ดีในสัดส่วนที่สูงกว่าสหรัฐฯ ขณะที่ 37% มองว่าจีนจัดการดี ส่วน WHO จัดการโรคระบาดได้ดีอยู่ที่ 64%

Secretary of State Michael R. Pompeo holds a Town Hall Meeting on the Report of the Commission on Unalienable Rights, at the U.S. Department of State in Washington, D.C., on September 9, 2020. [State Department photo by Freddie Everett/ Public Domain]
ล่าสุด จีนก็เพิ่งจะโต้กลับหลังจากที่สหรัฐฯ โจมตีต่อเนื่องยาวนาน ด้วยการกำหนดเงื่อนไขสำหรับกิจการทางการทูตของสหรัฐฯ ใหม่ Greta Nabbs-Keller นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Queensland จากออสเตเลียระบุว่า มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการปะทะกันทางทหารระหว่างสหรัฐฯ และจีนบริเวณทะเลจีนใต้

ที่มา – South China Morning Post, SoftPower30 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา