จะทนจ่ายประกันภัยที่ไม่ได้ใช้ไปทำไม? Metromile มีข้อเสนอ ขับขี่เท่าไหร่ จ่ายค่าประกันเท่านั้น

ถ้าใครกำลังรู้สึกว่า “ค่าประกันภัยรถยนต์ที่จ่ายไปในแต่ละปีนั้นไม่คุ้มค่า” ลองดู Metromile บริษัท Fintech ด้านประกันภัยรถยนต์ ที่จะให้คุณจ่ายค่าประกันตามจำนวนระยะทางที่คุณใช้จริง

Photo: flickr

เทคโนโลยีกับวงการประกันภัย

Metromile บริษัท Fintech ด้านประกันภัยรถยนต์ที่ประกาศชัดเลยว่า “จะคิดเงินค่าประกันภัยตามระยะทางที่ใช้” โดยล่าสุดเพิ่งระดมทุนไปอีก 192 ล้านเหรียญ โดยจะมุ่งเป้าธุรกิจไปที่อุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ที่มีมูลค่าในตลาดปัจจุบันกว่า 200,000 ล้านเหรียญ ถือเป็นจำนวนที่สูงมาก

Metromile ก่อตั้งโดย David Friedberg อายุ 35 ปี ผู้ที่เคยทำบริษัทประกันภัยสภาพอากาศให้กับเกษตรกร และในปี 2013 ได้ขายธุรกิจสตาร์ทอัพของเขาไปให้กับบริษัทเกษตรรายใหญ่อย่าง Monsanto ด้วยราคาเกือบ 1 ล้านเหรียญ

จากข้อมูลและการคำนวณของ Metromile ระบุว่า ประมาณ 65% ของผู้ขับขี่จะมีระยะทางในการใช้งานไม่เกิน 16,000 กิโลเมตรต่อปี แต่จ่ายค่าประกันในราคาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ใช้งาน Metromile บอกว่าหากให้จ่ายตามระยะทางจริงๆ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้เกือบ 20,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม Metromile ไม่ใช่บริษัทแรกที่นำเอาระบบการจ่ายค่าประกันตามระยะทางมาใช้เป็นเจ้าแรก แต่ก่อนหน้ามี Progressive และ Geico เพียงแต่ว่าตัวโปรแกรมที่เอามาใช้ยังไม่สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างมีเสถียรภาพ

Photo: flickr

ในขั้นแรก Metromile วางตัวเองเป็นเพียงบริษัทเทคโนโลยีที่จะคอยสนับสนุนบริษัทประกันภัย แต่ไม่นานมานี้ Metromile ได้ผันตัวมาเป็นบริษัทผู้ให้บริการประกันภัยเต็มรูปแบบ

ปัจจุบัน Metromile ได้รับการสนับสนุนจากบรรดานักลงทุนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ในแคนาดา และบริษัทจากจีน China Pacific Insurance Group Co. ที่มาร่วมทุน นอกจากนั้นยังมีกลุ่มนักลงทุนอีกมากที่เข้าร่วม เช่น New Enterprise Associates, Index Ventures และ First Round Capital

สรุป

เอาเข้าจริงแล้ว Metromile ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในโลกธุรกิจเพื่อส่งข้อเสนอที่ดีกว่าลงมาเล่นในตลาด ด้วยแนวคิด “จ่ายเท่าที่ใช้” แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในระยะยาวแล้วจะทำให้เจ้าของรถมีแรงจูงใจในการขับรถน้อยลง หรืออาจเดิน ขี่จักรยาน และรวมไปถึงการเข้ามาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ในกรณีที่ประเทศนั้นๆ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมารองรับ

ที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการทำงานที่บ้านโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศในอนาคตมีสูงขึ้น รวมถึงสังคมผู้สูงวัยที่ล้วนแล้วแต่อยาก “จ่ายเท่าที่ใช้” ต้องจับตาดูกันว่าแนวคิดการประกันภัยกับเทคโนโลยีจะเปลี่ยนวงการนี้ไปอย่างไรบ้าง

ที่มา – Forbes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา