Location Strategy กลยุทธ์สำคัญ ในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์

ปัจจุบัน ธุรกิจค้าปลีก และ แฟรนไชส์ มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้การแข่งขันมีสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าและช่องทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ซึ่งในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation เน้นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงข้อมูลและกลุ่มลูกค้าได้อย่างเสรี และให้อำนาจแก่ลูกค้า ลดทอนการบริโภคซ้ำของผู้บริโภค ก้าวข้ามอุปสรรคของการเข้าสู่ตลาดที่มีมาหลายสิบปี พร้อมกันนี้ ยังทำลายสมมติฐานและแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ธุรกิจต้องพัฒนาช่องทางการซื้อ-ขายสินค้าได้หลากหลายทาง ผู้ที่ต้องการจะเป็นผู้นำทางการตลาด ต้องหาตัวช่วยที่จะเข้ามาพัฒนาระบบการทำงานและช่วยในการตัดสินใจให้มีความแม่นยำและคุ้มค่าที่สุด

หลายองค์กรรู้ว่านี่คือยุค Digital Transformation แต่มีกี่องค์กรที่มีการปรับตัว หรือรู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไร คำตอบง่ายๆ คือ ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ภายในองค์กรเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถ้าไม่ทำและใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆ เท่ากับว่าองค์กรนั้นมีโอกาสสูงที่จะตกยุคและพ่ายแพ้ในการแข่งขันทางธุรกิจ

หนึ่งในรูปแบบของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคือ การนำ กลยุทธ์การเลือกทำเลที่ตั้ง หรือ Location Strategy มาใช้ พูดถึงการเลือกทำเลที่ตั้ง หลายคนคิดถึงเรื่องของแผนที่ แต่นี่ไม่ใช่แค่แผนที่อย่างเดียว แต่มีเรื่องของข้อมูลระดับ Big Data และการวิเคราะห์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

มากกว่าแค่แผนที่ แต่เป็น Location Strategy และ GIS

การใช้กลยุทธ์ Location Strategy จำเป็นต้องใช้ Geographic Information System หรือ GIS เป็นระบบข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ เริ่มจากการมีแผนที่ความละเอียดสูงเป็นพื้นฐาน และนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องวางลงไปบนแผนที่เพื่อเชื่อมโยงตำแหน่ง นำไปสู่การขยายผลทางข้อมูล

เช่น บริษัทมียอดขายในแต่ละภูมิภาค จังหวัด อำเภอ และตำบล เป็นอย่างไร พื้นที่ไหนสินค้าไหนขายดี และลงลึกถึงว่าทีมงานขาย ถนัดขายสินค้าใด ช่วยให้องค์กรวางแผนการผลิต การกระจายสินค้าและจัดทีมงานขายได้อย่างเหมาะสม

ยิ่งปัจจุบันข้อมูลสามารถอัพเดทได้ทันทีแบบ Real Time ยังช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกทำเลขยายสาขา โดยวิเคราะห์จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประชากร คู่แข่งและปัจจัยอื่นๆ หรือ การบริหารต้นทุนการขนส่ง การควบคุมดูแลการขนส่งแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด

ทั้งหมดคือ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

Location Strategy สร้างมุมมองที่แตกต่าง

การใช้ Location Strategy สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกธุรกิจ หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความนิยมมาก เช่น ธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งเพื่อการตัดสินใจ ทั้งการวางแผนกลยุทธ์การแข่งขัน การสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า

ทั้งหมดสามารถใช้ Location Strategy มาเป็นเครื่องมือในการบูรณาการและวิเคราะห์ ที่ตั้งโรงงาน แหล่งวัตถุดิบ การจัดเก็บและจัดส่งสินค้าไปยังร้านค้า ถ้าสามารถจับคู่ข้อมลได้อย่างถูกต้อง จะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง

ในบางพื้นที่ สภาวะอากาศกับข้อมูลยอดขายมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นผลิตภัณฑ์หนึ่งอาจจะขายได้ดีในร้านค้าหนึ่ง แต่ขายไม่ได้ในอีกร้าน ข้อมูลจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ และนำไปสู่การปรับปรุงแผนเพื่อรองรับการตลาด และทั้งหมดสามารถทำได้แบบ Real Time ผ่าน Location Strategy

เช่น บริษัท U.S. Cellular ผู้ให้บริการระบบไร้สายครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประยุกต์ใช้หลักการเลือกสถานที่ตั้งร้านค้าปลีกตามรูปแบบการจับจ่ายของผู้บริโภค คู่แข่ง และข้อมูลทางการตลาด โดยนำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยในการวิเคราะห์หาพื้นที่ที่บริษัทจะได้เปรียบคู่แข่งและมีโอกาสทำยอดขายได้สูงสุด ถือเป็นการสร้างรูปแบบใหม่ในการแข่งขันทางธุรกิจโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในการตัดสินใจ (Business Intelligence)

 

ปลดล็อกข้อมูลแบบ Real Time เพิ่มศักยภาพธุรกิจ

มิติใหม่ที่สร้างความแตกต่างจากเดิมคือ ความสามารถในการดูข้อมูลแบบ Real Time เพื่อให้องค์กรสนองตอบต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากลูกค้าและปัจจัยภายนอกได้ทันท่วงที เมื่อรวมกับข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ข้อมูลประชากรศาสตร์ อาจทำให้คาดการณ์ตลาดในอนาคต ตลาดระดับท้องถิ่น หรือตลาดระดับประเทศได้ ทำให้เห็นรูปแบบทางภูมิศาสตร์ที่แสดงโอกาสทางการตลาดของบริษัทในการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการขยายตัวของสมาชิก ถือเป็นการยืนยันประโยชน์จากการใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการสร้างแผนที่เสมือนจริง

รวมถึงสามารถปรับและพัฒนากลยุทธ์เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ดีและรวดเร็วขึ้นจากการวิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อธุรกิจ สามารถเข้าใจการบริหารจัดการงานในปัจจุบัน

สรุป

กลยุทธ์การเลือกทำเลที่ตั้ง เป็นมากกว่าแค่การเลือกทำเล แต่มีการนำข้อมูลชิงลึก มาวิเคราะห์ร่วมกับทำเลที่ตั้งแบบ Real Time ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสามารถคาดการณ์ธุรกิจ บริหารจัดการองค์กร วางแผนรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยิ่งกว่านั้นทำให้ อำนาจการกำหนดทิศทางธุรกิจ กลับมาสู่มือของ “ผู้ประกอบการ” อีกครั้ง

ESRI เชื่อว่าข้อมูลเชิงพื้นที่สามารถทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่สามารถนำมาวิเคราะห์ วางแผนและแก้ไขปัญหาของธุรกิจได้ “The Science of Where: ศาสตร์ที่ใช้โลเคชั่นตอบทุกคำถามของคุณ” ช่วยให้สามารถใช้ข้อมูลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด

หากสนใจเข้าร่วมงานสัมมนาด้านระบบภูมิสารสนเทศ ครั้งที่ 22 (TUC 2017) งานสัมมนาเชิงวิชาการระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดขึ้นเพื่อแสดงศักยภาพ แนะนำ และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และงานสำรวจอย่างครบวงจร หรือสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.esrith.com หรือ www.facebook.com/ESRITHAILAND

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา