เปิดตัวป้ายทะเบียนเขียว! อังกฤษเตรียมเดินหน้าติดให้กับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการใช้งาน

รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานสะอาดอื่นๆ กำลังถูกเร่งประชาสัมพันธ์จากรัฐบาลของหลายประเทศ เพื่อลดปัญหาการปล่อยมลพิษ ซึ่งอังกฤษคือหนึ่งในนั้น แถมล่าสุดกำลังจะเปิดตัวป้ายทะเบียนรถสีเขียวเพื่อช่วยกระตุ้นการรับรู้

ป้ายทะเบียนสีเขียวที่สุดจะเตะตา

ปัจจุบันการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์พลังงานสะอาดอื่นๆ กำลังถูกสนับสนุนจากหลายหลายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษี และการเดินทางด้วยเส้นทางพิเศษ แต่เพื่อให้การสนับสนุนนั้นเห็นชัดเจนมากขึ้น ทำให้บางประเทศเริ่มติดตั้งป้ายทะเบียนสีเขียวให้กับยานยนต์กลุ่มนี้ เช่นนอร์เวย์, แคนาดา และจีน

ซึ่งล่าสุด “อังกฤษ” ก็จะเดินหน้ากลยุทธืดังกล่าวบ้าง เพราะต้องการกระตุ้นการรับรู้ทั้งผู้ขับขี่บนท้องถนนด้วยกัน และประชาชนทั่วไปว่ามีรถยนต์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์พลังงานสะอาดอื่นๆ วิ่งอยู่บนท้องถนนจริง ผ่านการขับเคลื่อนโดยนายกรัฐมนตรี Theresa May และเลขาธิการของกระทรวงคมนาคม Chris Grayling

“ป้ายทะเบียนรถยนต์สีเขียวจะช่วยสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนมหาศาล เพราะมันมองเห็นได้ชัดเจน เป็นสื่อให้พวกเขาซื้อรถยนต์แบบนี้มากขึ้น จากปัจจุบันรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในอังกฤษช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีรถยนต์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ Hybrid ราว 5.5% มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ 4.2%” Chris Grayling กล่าว

ขณะเดียวกันรัฐบาลของอังกฤษก็มีแผนติดตั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์มากขึ้นเช่นกัน เพราะปัญหาของการเพิ่มจำนวนรถยนต์พลังงานสะอาดนั้นมาจากความน่าเชื่อถือ, ความเสถียรในการขับขี่ และสถานีชาร์จที่ต้องมากพอ ขณะเดียวกันบริษัทวิจัยที่นั่นสำรวจพบว่า 8 ใน 10 คนเห็นว่าสถานีชาร์จมีไม่มากพอ ทำให้ไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้เมื่อสองเดือนก่อนสภาเมืองลอนดอนได้ประกาศแผนที่จะห้ามรถยนต์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พลังงานสะอาดในบางพื้นที่ และบางช่วงเวลา เพื่อลดมลพิษ โดยรถยนต์พลังงานสะอาดนั้นหมายถึงรถยนต์ไฟฟ้า, จักรยานไฟฟ้า และเครื่องยนต์ Hybrid กับ Hydrogen เป็นต้น

สรุป

การติดตั้งป้ายทะเบียนรถยนต์พลังงานสะอาดก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันบางประเทศก็เลือกเพียงติดสติ๊กเกอร์หน้ารถ ซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความชัดเจนมากนัก จึงเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีหลายประเทศเลือกใช้วิธีข้างต้นมากขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่ประเทศไร้มลพิษ

อ้างอิง // The Guardian

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา