ไอศกรีม Glico กลับมากับ 3 รสใหม่ ลั่นเติมสินค้าไม่ขาดตู้-ตจว. ก็ซื้อได้ หวังขึ้นเบอร์ 3 ของตลาด

แม้ไม่ได้ทำตลาดอะไรมาก แต่ต้องยอมรับว่าไอศกรีม Glico หรือกูลิโกะ ในไทยนั้นฮิตติดลมบนจริงๆ แต่จากนี้น่าจะฮิตไปกว่านี้ เพราะเตรียมทุ่มงบการตลาด 2 เท่า แถมส่งรสใหม่ และนำเข้าตู้หยอดเหรียญซื้อไอศกรีมเข้ามาอีก

ถึงหายไปพักใหญ่ แต่กระแสก็ไม่ตก

ไทยถือเป็นประเทศแรกที่ “กูลิโกะ” ตั้งบริษัทเพื่อจำหน่ายไอศกรีมภายใต้แบรนด์ตัวเองนอกประเทศญี่ปุ่น เพราะก่อนหน้านี้ เช่นอินโดนีเซียก็เป็นการ Joint Venture กับผู้ผลิตท้องถิ่น ทำให้ไม่ได้ใช้แบรนด์กูลิโกะเต็มๆ ซึ่งตั้งแต่ตั้งบริษัทเมื่อปี 2558 และขายอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2559 นั้นกระแสไอศกรีมกูลิโกะก็ฮิตติดลมบนอยู่ตลอด

Kiyotaka Shimamori กรรมการผู้จัดการ บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า หลังจากทดลองจำหน่ายด้วยการนำสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศ จนถึงการได้พาร์ทเนอร์เป็นบริษัท จอมธนา จำกัด เจ้าของแบรนด์ไอศกรีม “ครีโม” ช่วยผลิต และกระจายสินค้าให้ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังกระจายออกไปได้ไม่ถึงทุกความต้องการ

Kiyotaka Shimamori กรรมการผู้จัดการ บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด

“ต้องขอโทษทุกคนด้วย เพราะกูลิโกะเองก็ไม่ได้คาดมาก่อนว่าไอศกรีมของเราจะฮิตขนาดนี้ และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคที่เดินทางไปซื้อ แต่สุดท้ายก็ไม่มีของ ซึ่งการที่เราหายไปพักหนึ่งก็เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และยืนยันว่าหลังจากนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอีกแล้ว เพราะเรากระจายสินค้าได้ทั่วกทม. และอีก 30 จังหวัด รวมกว่า 7,000 ตู้แช่”

ส่ง 3 สินค้าใหม่ พร้อมโหมตลาดเต็มที่

และถึงจะเข้าหน้าหนาวในประเทศไทยแล้ว แต่ยักษ์ใหญ่ขนมจากญี่ปุ่นรายนี้ก็เตรียมวางจำหน่ายไอศกรีม 3 รสชาติใหม่ภายใต้แนวคิด Chocolate Series ประกอบด้วย Giant Cone Crown โคนช็อคโกแลตราคา 35 บาท, 17 Ice Crown ไอศกรีมแท่งรูปแบบใหม่ ราคา 25 บาท และ Panapp รสทริปเปิ้ลช็อคโกแลตซันเดย์ ราคา 25 บาท

ซึ่งการจำหน่ายเพิ่มอีก 3 รสชาตินั้น ทำให้กูลิโกะทำตลาดไอศกรีมในประเทศไทยทั้งหมด 12 SKU และทั้งหมดอยู่ในกลุ่มพรีเมียม หรือเกิน 20 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่ยังเติบโตสูงสุดของมูลค่าไอศกรีม (ซื้อตามร้านค้า ไม่นับนั่งกินในร้าน) ที่ 12,000 ล้านบาทเมื่อปี 2559 โดยไอศกรีมทั้ง 3 รสใหม่จะเริ่มจำหน่ายวันที่ 2 พ.ย. เป็นต้นไป

ด้านการตลาด กูลิโกะเตรียมใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปีก่อน เพื่อปูพรมการตลาดเต็มที่ โดยคงช่องทางสื่อ Out of Home และ Digital ไว้เป็นหลัก แต่จะเพิ่มสื่อโฆษณาทีวีเข้ามา พร้อมจ้าง “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เหมือนกับที่ญี่ปุ่นใช้ดาราดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะแต่เดิมเคยใช้เพียง Net Idol

ดึงตู้หยอดเหรียญซื้อไอศกรีมมาติดตั้ง

นอกจากกิจกรรมการตลาดทั่วไปแล้ว ยังนำตู้หยอดเหรียญที่ใช้ซื้อไอศกรีมจากญี่ปุ่นมาติดตั้งในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย มีทั้งหมด 2 ตู้หมุนเวียนสถานที่ไปเรื่อยๆ โดยเดือนพ.ย. จะอยู่ที่ Siam Center กับ Mega Bangna จากนั้นจะย้ายไปที่ Siam Paragon และ Central World

ทั้งนี้ทางกูลิโกะตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดในกรุงเทพ และปริมณฑลที่ 7% เหมือนที่เคยทำได้ และมีเป้าระยะยาวคือเตรียมขึ้นเบอร์ 3 ของตลาดไอศกรีมในประเทศไทย เพราะอันดับที่ 3-6 นั้นไม่ต่างกันมาก ยิ่งตัวแบรนด์ค่อนข่างแข็งแกร่ง และได้ความนิยมจากผู้บริโภคระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำได้เหมือนเป็นเบอร์ 3 ของตลาดที่ญี่ปุ่น

สรุป

ด้วยรสชาติที่แตกต่าง แถมกระแสความนิยมในญี่ปุ่นของคนไทยก็ไม่ได้ตกลงง่ายๆ จึงเชื่อว่าอนาคตของไอศกรีมกูลิโกะจะขึ้นเป็นเบอร์ 3 ได้แน่ๆ แต่ถ้าจะไปเทียบชั้นเบอร์ 1-2 ของตลาดที่แข็งพอสมควรคงยาก เพราะทางนั้นมีไอศกรีมราคาระดับแมสอยู่ด้วย และไม่แปลกที่จะแย่งตลาดส่วนใหญ่ไปได้ง่ายกว่า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา