ว่าที่นายกฯ คนใหม่ญี่ปุ่น อดีตเด็กเอนทรานซ์ไม่ติด 3 รอบ สู่เก้าอี้ผู้นำประเทศคนที่ 100

ขึ้นชื่อว่าระดับผู้นำประเทศย่อมมี profile ที่ไม่ธรรมดา ผู้นำหลายคนก็มีภูมิหลังความเป็นมาที่ประชาชนคาดไม่ถึง มีทั้งที่น่าประหลาดใจและน่าสนใจ สำหรับ Fumio Kishida ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นคนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในคนไร้สังกัดมาก่อนหรือที่รู้จักกันดีว่าเขาเคยเป็น โรนินมาก่อน โรนินในที่นี้หมายรวมถึงคนที่ตกงาน คนที่เคยสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยมาก่อน Kishida ก็คือหนึ่งในนั้นด้วย

ถูกกล่อมเกลาให้เรียนรู้เรื่องการถูกเหยียดเชื้อชาติตั้งแต่สมัยเด็ก

Fumio Kishida เกิดวันที่ 29 กรกฎาคม 1957 ที่ย่านชิบูยา โตเกียว เป็นทายาทครอบครัวนักกการเมือง ในช่วงทศวรรษ 1960 เขาเคยใช้ชีวิตในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริการะยะหนึ่ง เขาเคยถูกเหยียดเชื้อชาติมาก่อน ทำให้เขาเข้าใจลึกซึ้งถึงประเด็นความถูกต้องและความเป็นธรรมค่อนข้างมาก เพื่อนในวัยเรียนของเขามีหลายเชื้อชาติ เขาจำได้ดีในวัยเด็กว่าเขาถูกเหยียดเชื้อชาติอย่างหนัก เช่น เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นคนผิวขาวไม่จับมือกับเขาแม้กระทั่งครูที่สอนเขาก็กระทำแบบเดียวกัน

จากนั้นเขาเข้าเรียนที่ Kaisei โรงเรียนมัธยมที่ถือเป็นสถาบันชั้นนำของญี่ปุ่น นักเรียนกว่า 100 คนจากโรงเรียนนี้มักจะมีคุณสมบัติที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้ทุกปีและยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตข้าราชการและนักกฎหมายชั้นนำของประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ในวัยมัธยมนี้ เขายังเป็นนักกีฬาเบสบอลด้วย 

พลาดหวังจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 3 รอบ เสมือนหลุมดำของครอบครัวนักการเมือง

Kishida ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นเคยเป็นหนึ่งในโรนิน เคยเป็นผู้ที่เคยพลาดหวังจากการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยที่หวังไว้ไม่ได้ เขาเคยถูกนับว่าเป็นความอับอายของครอบครัวหลังจากที่ถูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง University of Tokyo ไม่ได้ถึง 3 ครั้ง มหาวิทยาลัยโตเกียวถือเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับ 1 ของญี่ปุ่นและถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับที่ 73 ของโลกและยังเป็นมหาวิทยาลัยที่พ่อและญาติของเขาจบการศึกษามา 

3 ครั้งที่เขาพลาดและสอบไม่ติดเกิดขึ้นในปี 1976, 1977 และ 1978 ในปีที่สามนี้เขาสอบเข้าสถาบันชั้นนำพร้อมกันไปด้วยคือ Keio และ Waseda และในที่สุดเขาก็เลือกเรียนกฎหมายจากมหาวิทยาลัย Waseda เขาเลือกเรียนที่นี่เพราะบรรยากาศไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นมหา’ลัยของชนชั้นนายทุนเหมือนมหาวิทยาลัย Keio

จากหนังสือของเขาเรื่อง Kishida Vision: From Division To Collaboration เขาเคยกล่าวไว้ว่า การที่เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Waseda เป็นตัวพิสูจน์ได้ดีว่า เขาไม่ใช่ชนชั้นนำแต่เขาเกิดจากดิน

Kishida กำลังจะเป็นผู้นำคนที่ 100 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2021 นี้ หลังจากได้รับชัยชนะจากการลงคะแนนเสียงรอบ 2 ของพรรค LDP (เสรีนิยมประชาธิปไตย) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาจะกลายเป็นศิษย์เก่าคนที่ 8 จากรั้วมหาวิทยาลัย Waseda ที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศได้ 

Getty Images

เส้นทางชีวิตก่อนเข้าสู่แวดวงการเมือง ตามรอยพ่อและปู่

Fumio Kishida ปัจจุบันอายุ 64 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานในธนาคารมาก่อน และยังเคยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศด้วย เขาเกิดในตระกูลนักการเมือง พ่อและปู่เป็นสมาชิกรัฐสภาทั้งคู่ เขาเองก็ได้รับเลือกเข้าสู่สภาครั้งแรกในปี 1993 จากเมืองฮิโรชิมา 

หลังจากที่เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวาเซดะ เขาทำงานอยู่ที่ธนาคารสินเชื่อระยะยาว เขาลาออกในปี 1987 และเข้าสู่แวดวงการเมือง เดินตามรอยพ่อและปู่ของเขา โดยเริ่มชิมลางด้วยการเป็นเลขาของพ่อ (เหมือนกับที่ลูกชายคนโตของเขาที่เริ่มงานด้วยการเป็นเลขาของเขาเช่นกัน) เขาได้รับเลือกตั้งได้ที่นั่งในสภาปี 1993 และได้รับเลือกตั้งหลังจากนั้นอีกครั้ง

ต่อมา เขาเข้าสู่คณะรัฐมนตรีในช่วงปี 2007 ที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งแรกในสมัยชินโซ อาเบะ เขาได้เป็นรัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบกิจการโอกินาวา จากนั้นก็เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่ปี 2012-2017 เขาถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้บารัค โอบามาประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนฮิโรชิมา ขณะเดียวกันก็ทำให้นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะผู้นำคนแรกของญี่ปุ่นที่เยือนเพิร์ล ฮาเบอร์ 

ในปี 2012 เขายังอยู่ในกลุ่มที่มีเสียงส่วนน้อยในพรรค LDP ด้วย กลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่ม Kochikai ที่เกิดขึ้นโดยนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ 4 คนด้วยกัน คือ Hayato Ikeda (ปี 1960-1964) Masayoshi Ohira (1978-1980) Zenko Suzuki (ปี 1980-1982) และ Kiichi Miyazawa (1991-1993) กลุ่ม Kochikai นี้ก่อตั้งในปี 1957 มีวิวัฒนาการหลังสงครามเย็น ยึดตามหลักการโยชิดะ (Yoshida doctrine) ที่พยายามจัดการความคิดอนุรักษ์นิยมที่เป็นกระแสหลักในพรรค LDP เป็นสายกลางในช่วงสงครามเย็น เน้นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ต่อต้านสงคราม

นอกจากนี้ ในปี 2015 เขายังมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ตระหนักถึง comfort woman หรือผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าหญิงบำเรอในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยการทำความตกลงกับเกาหลีใต้ด้วย 

สำหรับชีวิตส่วนตัว

ภรรยาของเขาเป็นลูกสาวเจ้าของโรงกลั่นเหล้าผู้ร่ำรวย เขาแต่งงานโดยครอบครัวเลือกคู่ครองให้ เขามีลูกชาย 3 คน คนโตคือ Shotaro วัย 30 ปีกำลังเจริญรอยตามเขา ปัจจุบันทำงานเป็นเลขาให้เขาอยู่ ลูกชายคนที่สองคือ Kotaro วัย 24 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นปริญญาตรีในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาจากมหาวิทยาลัย Nihon และกำลังทำงานในภาคเอกชนที่ฮิโรชิมาในปีหน้า ส่วนลูกชายคนที่สาม วัย 21 ปี ไม่มีข้อมูลชัดเจน

ที่มา – The Straits Times

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา