“ราคาของเราบางช่วงสู้กับไปรษณีย์ไทยได้เลย” อ่านแผน DHL eCommerce ปี 2018

ขายของออนไลน์จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการจัดส่งสินค้า DHL eCommerce พร้อมลุยด้วยชื่อแบรนด์อันแข็งแกร่ง และขอท้าชนทุกแบรนด์ในปี 2018

DHL eCommerce ประเทศไทย “เราพร้อมแข่งได้ทุกแบรนด์ “

“ขายของออนไลน์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการส่งของให้สำเร็จ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแยกไม่ออกจากธุรกิจโลจิสติกส์”

ในระหว่างนั่งล้อมวงพูดคุยก่อนจะสิ้นสุดปี 2017 กับ เกียรติชัย พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท DHL eCommerce ประเทศไทย เขาบอกเลยว่า “แบรนด์ DHL เราพร้อมแข่งได้ทุกแบรนด์ บางช่วงน้ำหนักของเราสู้กับไปรษณีย์ไทยได้เลย และที่สำคัญเราไม่มีข้อจำกัดเรื่องน้ำหนัก ส่งของกับไปรษณีย์ไทยน้ำหนัก 5 – 10 กิโลกรัมบางครั้งก็ยากแล้ว แต่ DHL หมดปัญหาเรื่องนั้นไปได้เลย”

  • อีกหนึ่งความแข็งแกร่งของ DHL eCommerce ประเทศไทยคือ สิ้นสุดปี 2017 ขณะนี้พร้อมส่งสินค้าทั่วประเทศไปยัง 1,189 รหัสไปรษณีย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

MD ของ DHL eCommerce ประเทศไทย ฟันธงเลยว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย ทำให้การส่งของเดลิเวอรี่คือมาตรฐานใหม่ที่ผู้บริโภคคาดหวัง ดูอย่างเซ็นทรัลได้เลย ไม่เกิน 3 – 5 ปีสัดส่วนยอดขายจะมาจากออนไลน์ในปริมาณที่มากกว่า” 

อัพเดทตัวเลข

  • สำหรับรายได้ของ DHL eCommerce ในปี 2017 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3 – 4 เท่า
  • สัดส่วนปลายทางสินค้าไปต่างจังหวัดยังนำที่ 60% ส่วนต่างประเทศ 30 – 40% ส่วนต้นทางยังเป็น กทม.
  • ปี 2018 จะสร้างศูนย์กระจายสินค้ากว่า 100 แห่ง
เกียรติชัย พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท DHL eCommerce ประเทศไทย

เปิด Shop คือแผนงานปี 2018 และตลาด e-Payment ที่ต้องเข้าไปจับ

Shop ของ DHL eCommerce ที่เป็นจุดรับส่งสินค้า ลูกค้า (ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ) ไม่ต้องเรียกให้พนักงานของ DHL ไปรับของหรือส่งของที่บ้านอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อความสะดวกจุดรับส่งสินค้านี้จะเป็นจุดกลางในการรับส่งหรือฝากของสินค้าแล้วไปรับด้วยตัวเองได้อย่างสะดวก โดยตอนนี้มีอยู่ประมาณ 200 จุด และกำลังจะขยายเพิ่มอย่างเข้มข้น

  • ไตรมาส 1 ปี 2018 จะขยายให้เป็น 500 จุด
  • ไตรมาสที่ 2 – 3 ปี 2018 จะเร่งให้ครบ 1,000 จุด

ส่วนอีกหนึ่งกระแสที่ต้องจับคือ กระแสไร้เงินสดหรือการจ่ายเงินผ่าน e-Payment ที่ DHL บอกว่า “ในปี 2018 จะเป็นปีที่ตลาด e-Payment แข่งกันหนักขึ้น แม้ว่า DHL จะโดดเด่นเรื่องการเก็บเงินปลายทาง และคืนเงินกลับไปยังผู้ขายได้ไวที่สุด คือ 3 วัน แต่กระแสนี้เราต้องจับ ต้องเข้าไปเล่น ปีหน้าจะได้เห็นการแข่งขันในตลาดนี้”

สรุป

ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทยที่ใหญ่ถึง 1.4 แสนล้าน ในตัวเลขนี้โลจิสติกส์คิดเป็น 8 – 10% เท่านั้น ตัวเลขคร่าวๆ คือมากกว่า 4,000 ล้านบาท การแข่งขันย่อมดุเดือดเป็นธรรมดา แต่ DHL eCommerce ยังคงเป็นแบรนด์ที่ใช้ความแข็งแกร่งของชื่อแบรนด์ต่อไป ผสมกับการขยายจุดบริการให้ครอบคลุม รวมถึงกลยุทธ์แบบ Next Day

ความท้าทายต่อจากนี้จึงไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการเติบโตที่รวดเร็วของอีคอมเมิร์ซอาจทำให้ไม่สามารถคงคุณภาพเอาไว้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องจับตารอดูกันต่อไป

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา