รู้จัก David Zaslav ผู้ทรงอำนาจคนใหม่ในโลกสตรีมมิ่ง อำนาจขั้วที่ 3 ต้านทาน Netflix กับ Disney+

ทำความรู้จัก David Zaslav ซีอีโอของ Discovery ผู้ปั้นดีลควบรวม Discovery กับ WarnerMedia

แน่นอน ชื่อของเขาอาจไม่คุ้นหู แต่บอกได้เลยว่า ชายคนนี้คือหัวเรือใหญ่แห่งอำนาจขั้วที่ 3 ในวงการสตรีมมิ่งโลก

เขาคือคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามของ Netflix และ Disney นับจากนี้เป็นต้นไป

david zaslov ceo warner media discovery (2)

ก่อนหน้านี้ Netflix และ Disney คุมตลาดสตรีมมิ่งไว้อยู่หมัด

หากธุรกิจสตรีมมิ่งคือสงคราม นี่คือสงครามที่หลายตัวละครตบเท้าเข้ามาสู่สมรภูมิ ทั้งเบอร์ใหญ่อย่าง Netflix และ Disney+ ไปจนถึงรายอื่นอย่าง Peacock (สตรีมมิ่งของ Universal), Apple+ หรือ Amazon Prime นี่ยังไม่รวมสตรีมมิ่งในระดับภูมิภาคอย่าง Viu, iflix หรือ WeTV ภาพผู้เล่นหลักคร่าวๆ ก็พอทำให้เห็นได้ว่าผู้เล่นในตลาดสตรีมมิ่งกำลังสู้รบปรบมือกันอย่างดุเดือด

แม้จะมีผู้เล่นมากมาย ทิศทางการแข่งขันในตลาดนี้ระยะยาวดูเหมือนจะเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ขั้วอำนาจในตลาดสตรีมมิ่งอย่าง Netflix ที่เป็นผู้บุกเบิกและครอบครองยอดผู้ติดตามมากที่สุด กับ Disney+ อีกหนึ่งผู้เล่นที่มีคอนเทนต์ระดับโลกจำนวนมากอยู่ในมือ ส่วนผู้เล่นรายย่อยกว่านั้นก็จะล้มหายไปเรื่อยๆ 

แต่ภูมิทัศน์การแข่งขันของธุรกิจสตรีมมิ่งระดับโลกกำลังเปลี่ยนไปเพราะ ขั้วอำนาจที่ 3 กำลังจะเกิดขึ้น

ดีล Discovery ควบรวม WarnerMedia สั่นสะเทือนวงการ

David Zaslav ซีอีโอของ Discovery คือผู้ที่ทำให้ดีลช็อกโลกวงการสื่ออย่างการควบรวม Discovery และ WarnerMedia บริษัทสื่อในเครือ AT&T เกิดขึ้น 

น่าสนใจว่า แม้อัตราส่วนการถือหุ้นระหว่าง Discovery และ AT&T ในกิจการใหม่ที่ยังไม่มีชื่อเรียกจะอยู่ที่ 29:71 และ David Zaslav ก็เป็นซีอีโอที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเรียงนามเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าเขาจะได้นั่งเป็นซีอีโอในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมครั้งนี้ และเบื้องต้นจะอยู่ในตำแหน่งจนถึงปี 2027

มาดูกันว่าเขาทำอย่างไรถึงพา Discovery มาถึงจุดนี้ได้ แล้วยุทธศาสตร์การแข่งขันในวงการสตรีมมิ่งต่อไปในฐานะขั้วอำนาจที่ 3 จะเป็นอย่างไร 

ATT-WM-Discovery

David Zaslav คือใคร ทำไมกลายมาเป็นหัวเรือใหญ่ของอำนาจขั้วที่ 3 ผู้ท้าชิง Netflix และ Disney ได้

เพื่อจะตอบคำถามนี้ มีปัจจัยอย่างน้อย 3 เรื่องที่อธิบายได้ว่าทำไม David Zaslav จึงกลายเป็นหัวเรือใหญ่หลังควบรวมกิจการ ทั้งๆ ที่ Discovery จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ที่ควบรวมน้อยกว่า AT&T เกินครึ่ง (Discovery 29% และ AT&T 71%)

(1)

อย่างแรกที่ต้องพูดถึงคือการที่ David Zaslav เป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้เกิดดีลนี้ขึ้นมา

จริงๆ แล้ว Zaslav มีแผนจะพูดคุยกับ John Stankey ประธานบริหารของ AT&T ในการแข่งขันกอล์ฟรายการ AT&T Pebble Beach Pro-AM ซึ่ง AT&T เป็นสปอนเซอร์ตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว แต่โชคไม่ดีที่การแข่งขันดังกล่าวถูกยกเลิกไปเพราะโควิด-19 

Zaslav ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารสายภาพยนต์อย่าง Variety ว่า หลังจากมาคิดดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้ร่วมงานกับ WarnerMedia เขาก็ได้ส่งอีเมลไปหา John Stankey ในวันเดียวกันพวกเขาก็ได้คุยกันเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง 

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หลังจาก Netflix และ Disney ปล่อยข้อมูลทางการเงินที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจของทั้งคู่เติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยมีโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่ง

CEO ทั้งสองคนได้พบปะพูดคุยกันเป็นครั้งแรกในวันที่ 2 มีนาคม การเจรจายังเป็นที่รู้กันในวงแคบๆ แม้แต่ซีอีโอของ WarnerMedia อย่าง Jason Kilar เองก็ยังไม่ทราบเรื่อง

หลังจากเจรจากันครั้งสุดท้ายทั้งสองบริษัทจึงได้ตกลงกันว่าจะควบรวมธุรกิจทั้งสองแยกออกมาเป็นบริษัทต่างหาก มุ่งเน้นไปยังธุรกิจ direct-to-customer หรือสตรีมมิ่ง โดยมีคลังคอนเทนต์ในมือมากมายไล่ไปตั้งแต่ ข่าว (เช่น CNN) กีฬา ไลฟ์สไตล์ และหนังเฟรนไชส์ฟอร์มยักษ์ (เช่น ซูเปอร์ฮีโร่ DC)

(2)

ประเด็นถัดมาที่ต้องพูดถึงคือ เขาอยู่ในวงสังคมของผู้บริหารระดับสูงในวงการสื่อ Hollywood Reporter รายงานว่า David Zaslav มักจะคุยเรื่องสัพเพเหระผ่าน Zoom เป็นประจำกับผู้บริหารชั้นนำในวงการสื่อ เช่น

  • Bob Iger ซีอีโอ Disney
  • Len Blavatnik ประธาน Access
  • Lucian Grainge ประธานและซีอีโอ Universal Music Group
  • Jeff Bewkes อดีตประธาน Time Warner (Warner Media ในปัจจุบัน)
  • Richard Pepler อดีตผู้บริหาร HBO

(3)

อีกประเด็นหนึ่งคือ แม้เขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ในวงการธุรกิจ เขาถูกจัดว่าเป็นผู้บริหารที่เป็นแบบอย่างที่ดี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้กัน

Jeffrey Katzenberg ผู้คร่ำหวอดใน Hollywood กล่าวว่า Zaslav อาจเป็นคนที่ไม่ได้ออกหน้าต่อสาธารณะมากนัก แต่ชัดเจนว่าในหมู่เพื่อนร่วมงาน เขาอยู่ในระดับนักแสดงนำและทุกคนก็รู้เรื่องนี้ดี

ผู้บริหารอีกท่านหนึ่งที่เคยร่วมงานกับ Zaslav หลายครั้งระบุว่า ตั้งแต่สมัย Zaslav ทำงานให้กับ NBC สถานีโทรทัศน์ของสหรัฐ เขาเป็นคนน่าทึ่ง ฉลาด เข้าใจเรื่องธุรกิจเป็นอย่างดี และที่สำคัญเขายังเข้าใจดีด้วยว่าธุรกิจสื่อในอนาคตจะเป็นอย่างไร

ประเด็นเหล่านี้ ถือเป็นเหตุผลจำนวนหนึ่งในอีกหลายๆ เหตุผลที่ทำให้ David Zaslav ได้กุมบังเหียนธุรกิจใหม่ผ่านการควบรวมธุรกิจแม้ว่า Discovery จะถือหุ้นน้อยกว่าก็ตาม มากกว่านั้น เขาได้ดึงผู้บริหารระดับสูงหลายคนจาก Discovery มานั่งในทีมบริหารด้วย น่าสนใจว่า เขาจะนำพายักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิ่งที่กำลังเกิดใหม่ไปในทิศทางใด

David Zaslav กับภารกิจพา Discovery + WarnerMedia เทียบชั้น 2 มหาอำนาจแห่งวงการสตรีมมิ่งโลก

ภาพจาก Shutterstock

ภาพการแข่งขันในวงการสื่อกำลังเปลี่ยนไปในปี 2021 เพราะการควบรวมกิจการระหว่าง Discovery และ WarnerMedia ดีลนี้จะทำให้เกิดขั้วอำนาจที่ 3 ในวงการสตรีมมิ่ง เพราะขนาดธุรกิจ เงินทุน และคลังคอนเทนต์ในมือเรียกได้ว่าไม่เป็นรองสองขั้วอำนาจดั้งเดิมเลย

David Zaslav ระบุว่า ecosystem ของธุรกิจของเขาค่อนข้างสมบูรณ์ ทั้ง Netflix และ Disney ต่างก็เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม แต่เขาก็มีคอนเทนต์มากมาย หลากหลาย และเป็นที่ชื่นชอบในวงกว้าง เขาตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในระยะยาว ธุรกิจของเขาจะต้องเขาถึงผู้ชมได้มากเกิน 400 ล้านรายทั่วโลก 

สำนักข่าวด้านเศรษฐกิจชั้นนำอย่าง The Economist ระบุว่า ธุรกิจจากการควบรวมกิจการครั้งนี้จะกลายเป็นธุรกิจสื่อที่ใหญ่ที่สุด อันดับ 2 ของโลกในแง่รายได้ เป็นรองแค่ Disney เท่านั้น

  • รายได้ปี 2020 ของ Disney 6.54 หมื่นล้านเหรียญ 
  • รายได้ปี 2020 ของ Warner+Discovery 4.11 หมื่นล้านเหรียญ 
  • รายได้ปี 2020 ของ Netflix 2.5 หมื่นล้านเหรียญ 
Game of Thrones
Game of Thrones

ส่วนในแง่ของคลังแสงในมือที่จะเอาไปต่อกรกับอีกสองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Disney ก็เรียกได้ว่าไม่เป็นรอง Discovery ถนัดด้านคอนเทนต์จริงจัง เช่น สารคดี Discovery Channel, Food Network, Science Channel, Travel Channel ไปจนถึงรายการกีฬาอย่าง Eurosport และ GolfTV

ส่วนคอนเทนต์จากอีกฝั่งอย่าง WarnerMedia ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน เพราะมีลิขสิทธิ์หนังดังอยู่ในมือมากมาย ทั้งในเครือ Warner Bros. และ HBO เช่น Games of Thrones, Sex and the City ไปจนถึงเฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่อย่าง DC นอกจากนี้ยังมีช่องข่าวระดับโลกอย่าง CNN มีช่องการ์ตูนอย่าง Cartoon Network แถมยังมีโปรแกรมสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง HBO Max อีกต่างหาก

ดีลครั้งนี้ จึงมีสื่อหลายสำนักจับตามอง และคาดกันว่าจะมาสั่นคลอนสถานะของ Netflix และ Disney ที่เคยเชื่อกันว่าจะเป็นเพียงสองผู้เล่นในสงครามสตรีมมิ่งระยะยาว มาวันนี้ ภาพการแข่งขันในธุรกิจนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า 2 บริษัทที่ลำพังก็ยิ่งใหญ่อยู่แล้วจะมาควบรวมกันได้ แถมยังได้ซีอีโอที่ไม่คุ้นหน้า แต่ว่ากันว่าฝีมือดีเข้ามาบริหารเสียด้วย

ศึกธุรกิจสตรีมมิ่งจึงยังมีอะไรให้ติดตามกันอีกยาวๆ 

ที่มา – Variety, Axios, CNBC, Business Insider, Hollywood Reporter, Quartz, The Economist, Barron’s

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

บาส รชต สนิท - นักข่าว นักเขียน ที่ Brand Inside | สนใจด้าน Future of Work, สิทธิคนทำงาน, สิ่งแวดล้อม, การเมืองโลก, ปัญหาทุนนิยม และ สิทธิมนุษยชน