ร้านซูชิในญี่ปุ่นเลิกใช้ระบบสายพาน เปลี่ยนมารับออเดอร์แทน คลิปไวรัลวัยรุ่นทำพฤติกรรมสกปรกเป็นเหตุ

เดือดร้อนอีกเจ้า Choshimaru เชนร้านซูชิสายพานใหญ่ของญี่ปุ่นประกาศเลิกใช้ระบบสายพานแล้วตามหลังเชนใหญ่อีกรายอย่าง Sushiro

ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ต้นเรื่องที่เป็นคลิปไวรัลบนโซเชียลมีเดีย มีกลุ่มวัยรุ่นในญี่ปุ่นทำพฤติกรรมแผลง ๆ และไม่ถูกสุขอนามัยอย่างร้ายแรงด้วยการป้ายน้ำลายไว้ที่ซูชิที่วิ่งไปตามสายพานรวมถึงขวดซอสต่าง ๆ ในร้านอาหารญี่ปุ่นจนพฤติกรรมนี้ถูกเรียกว่า “Sushi Terrorism” หรืออาชญากรรมซูชิ

เรื่องนี้ทำให้ร้านซูชิพากันหาวิธีป้องกันพฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบของลูกค้าและเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน Choshimaru ร้านซูชิใหญ่ในญี่ปุ่นจึงได้ยกเลิกการหยิบอาหารที่วิ่งไปบนสายพานซูชิและเปลี่ยนมาเสิร์ฟอาหารตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งแทน โดยลูกค้าสามารถสั่งกับพนักงานหรือจากจอสั่งอาหารที่ติดอยู่ตามโต๊ะก็ได้

การเปลี่ยนมาทำซูชิตามออเดอร์ลูกค้ามีข้อดีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกการเสิร์ฟอาหารจะยังใช้สายพานอยู่แต่สายพานจะเคลื่อนที่เร็วกกว่าสายพานแบบที่ให้ลูกค้าเลือกหยิบเอง ทำให้มีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีลูกค้าโต๊ะอื่นมาสร้างความวุ่นวายขณะซูชิถูกส่งไปยังโต๊ะเจ้าของออเดอร์

นอกจากนี้ ยังมีข้อดีตรงที่ช่วยลดปริมาณอาหารที่ร้านต้องทิ้ง เพราะระบบซูชิสายพานแบบเก่าจะกำจัดซูชิทิ้งหากถึงเวลาที่กำหนดแล้วยังไม่มีลูกค้าหยิบไปรับประทานเพื่อคุมความสดของซูชิ การเปลี่ยนมาใช้แบบออเดอร์จึงทำให้ไม่มีอาหารถูกทิ้ง 

อย่างไรก็ตาม การเลิกใช้สายพานก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน ตรงที่ลูกค้าไม่มีโอกาสได้เห็นและได้เลือกซูชิที่วิ่งมาตามสายพาน การสั่งโดยตรงทำให้มีโอกาสที่จะสั่งน้อยกว่า รวมทั้งการยกเลิกสายพานก็ทำให้สูญเสียความสนุกของการรับประทานซูชิด้วย

Choshimaru จะเปลี่ยนมาใช้ระบบสั่งอาหารโดยตรงในสาขาทั้ง 63 แห่งตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนโดยขณะนี้บางแห่งเริ่มทยอยเปลี่ยนแล้วเช่นเดียวกับร้าน Sushiro ที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้แล้วและคาดว่าร้านอาหารญี่ปุ่นอื่น ๆ ก็จะเปลี่ยนเช่นเดียวกัน ขณะที่บางร้านอย่าง Kura Sushi ยังคงใช้สายพานอยู่แต่เพิ่มความระมัดระวังด้วยการนำ AI มาช่วยด้วยการติดตั้งกล้องไว้เพื่อคอยจับตาดูการหยิบซูชิ

กรณีร้านซูชิในญี่ปุ่นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่การทำพฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบโดยคนกลุ่มเดียวกลับสร้างความเสียหายให้กับคนอื่น ๆ ตามกันไปเป็นโดมิโน

ที่มา – Japan Today 

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา